สำนัก

โดย
สำนักการกระจายอำนาจและปกครองตนเอง(กอ-ปอ)
Decentralization & Local Autonomy Agency(DLA)

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

HOME AGAIN อารมณ์กลับบ้านของผู้ท่องยุทธ์


นานๆ ข้าพเจ้าจะได้ฟังผลงานเพลงของ Elton John ศิลปินเกย์เฒ่าซักครั้ง ก็ช่วงก่อนหน้านี้ข้าพเจ้ายังขาร็อคอยู่นี่นา แต่ตอนนี้อายุมากแล้วก็เป็นไปตามวัย สรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งตายตัว ก็เลยอยากแบ่งปันให้มิตรสหายได้ร่วมเสพบทเพลงและฝีมือดนตรีชิ้นนี้ไปด้วยกัน โดยเฉพาะมิตรสหายที่เข้าสู่วัยผมเริ่มหงอกทั้งหลาย ข้อมูลเกี่ยวกับ Album นี้ก็ตามข้างล่าง..เอ๊ะแต่หาบทเพลง "
The Diving Board" ไม่เจอใน You Tube ....แต่แค่  Home Again ก็เจ๋งแล้ว

"Home Again"

I'm counting on a memory to get me out of here
I'm waiting for the fog around this spooky little town to clear
All this time I've spent being someone else's friend
Just one more time, for old time's sake I'd like to go back home again

The world had seven wonders once upon a time
It's sure enough the favored nations aided their decline
And all around me I've seen times like it was back when
But like back then, I'd say amen if I could get back home again

[Chorus:]
If I could go back home, if I could go back home
If I'd never left, I'd never have known
We all dream of leaving, but wind up in the end
Spending all our time trying to get back home again

Could have been a jailbreak and the spotlight hitting me
Or was I just some nightclub singer, back in 1963
In the old part of Valencia, on the coast of Spain
Never tiring once of hearing songs about going home again

[Chorus x2:]
If I could go back home, if I could go back home
If I'd never left, I'd never have known
We all dream of leaving, but wind up in the end
Spending all our time trying to get back home again


Home Again อยู่ในอัลบั้มใหม่ล่าสุดที่ีชื่อ The Diving Board ที่ทุกเพลงบรรจงแต่งด้วย Elton John เองร่วมกับนักแต่งเพลงคู่บุญ Bernie Taupin บันทึกเสียงที่ The Village ในลอสแองเจลิส โปรดิวซ์โดย T-Bone Burnett เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล Home Again นับว่าอัลบั้มนี้เป็น สตูดิโออัลบั้มชุดแรกของ Elton John ต่อจากอัลบั้ม The Captain & The Kid ในปี 2006 และเป็นงานต่อเนื่องหลังจากการได้ร่วมงานกับวง Queens Of The Stone Age ในอัลบั้ม Like Clockwork และ Fall Out Boy กับเพลง Save Rock and Roll สำหรับ อัลบั้ม The Diving Board เขากล่าวว่ามันเป็นอัลบั้มมิวสิคัลมากๆ มีอะไรให้สัมผัสมากมาย"


เพลงทั้งหมดเอลตัน จอห์น แต่งทำนอง เบนนี ทอปิน แต่งคำร้อง โดยมีทีโบน เบอร์เนตต์ มาเป็นโปรดิวเซอร์ อัดเสียงที่สตูดิโอในแอลเอ เพลงในอัลบั้มถ่ายทอดเรื่องราวส่วนตัวของนักแต่งเพลงทั้งสอง ความสัมพันธ์กับครอบครัว ชีวิตรัก ความผิดหวัง เริ่มจากเพลง OCEANS AWAY ที่เนื้อร้องพูดถึงกัปตันโรเบิร์ต ทอปิน พ่อของเบนนีที่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มเป็นกัปตันท่องทะเล จากครอบครัวเป็นเวลานาน VOYEUR มองย้อนกลับถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวในอดีต ส่วน HOME AGAIN ที่ตัดเป็นซิงเกิลถ่ายทอดความรู้สึกอาลัยที่ต้องจากบ้านไปเป็นเวลานาน รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่กลับบ้าน เช่นเดียวกับ A TOWN CALLED JUBILEE ที่มองย้อนกลับถึงสถานที่เคยใช้ชีวิตในวัยเด็ก ส่วน CAN'T STAY ALONE TONIGHT เพลงโรแมนติกบัลลาดที่มีเนื้อร้องกินใจ ชุดนี้ดนตรีน้อยชิ้น เอลตัน จอห์น ได้โชว์พลังเสียงเต็มที่ เพลงอื่นที่น่าสนใจอย่างเช่น MEXICAN VACATION ที่เจือกลิ่นอายกอสเปล ตัดเป็นซิงเกิลสอง รวมทั้ง THE NEW FEVER WALTZ ที่พูดถึงเคราะกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงที่เอลตัน จอห์น เปิดตัวใหม่ๆ ฟังจบชุดนี้ได้ทั้งข้อคิดและความสุนทรีย์.


วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โอสถทิพย์ป้องกันรักษาโรคอันเกิดจากไขมันในเลือดสูง

น้ำสามเกลอ : สุดยอดน้ำสมุนไพรป้องกันรักษาโรคที่เกิดจากไขมันในเลือดสูง




จอมยุทธ์ล้มได้เพราะไขมันและน้ำตาลในเลือดสูง

เมื่อสัปดาห์ก่อนข้าพเจ้าเกิดอาการเวียนและมึนหัว ใจเต้นเร็วและแรงผิดปกติ ยืนไม่ค่อยติด คลื่นใส้ คล้ายจะเป็นลม ข้าพเจ้านึกเอาเองว่าคงเพราะพักผ่อนน้อย และเคร่งเครียดกับงานเยอะไป กะว่านอนพักและกินน้ำหวานเข้าไปเยอะๆ(คิดเอาเองว่าน้ำตาลในเลือดคงน้อย)ก็คงจะดีขึ้น การกลับเป็นเช่นนั้นไม่ ... ระบบภายในร่างกายของข้าพเจ้าปั่นป่วน ไม่มีเรี่ยวแรง ...ข้าพเจ้าจึงต้องจำพาสังขารโรยราของตัวเองดั้นด้นไปโรงพยาบาล.....หมอทำการตรวจเลือด,คลื่นหัวใจ,เอกซ์เรย์ปอด..พบว่า ตับไม่มีปัญหา ปอดสะอาด ความดันปกติ หัวใจมีเต้นผิดจังหวะนิดหน่อย ....แต่..ไขมันในเลือดสูงปริ๊ด...น้าตาลในเลือดสูงปริ๊ด....ไตรกีเซอไลน์สูงปริ๊ด.... หมอวินิจฉัยเบื้องต้นว่า อาจเนื่องมาจากเลือดข้นหนืดและไปเลี้ยงสมองไม่พอ....รักษาด้วยการกินยาขยายหลอดเลือด .ให้กินน้ำเยอะๆ และปรับพฤติกรรมการกิน.....ปรากฏว่าดีขึ้น แต่ยังไม่หายขาดไปเลยทีเดียว ...ตอนนี้ก็ยังมีมึนๆเวียนหัวบ้างบางครั้ง ...

โชคดีที่ข้าพเจ้าไม่ไร้บุญวาสนา มีพ่อแม่และพี่ชายพี่สาวที่ประเสริฐคอยดูแลห่วงใยข้าพเจ้าอย่างใกล้ชิด มีภรรยาที่ดูแลและอยู่ข้างกายข้าพเจ้าตลอดเวลาแม้ในยามล้มหมอนนอนเสื่อ มีมิตรสหายที่มากด้วยน้ำใจทั่วทั้งแผ่นดิน....

ครั้งครานี้ ข้าพเจ้าได้มิตรสหายสตรี 3 นาง พากันมาเยี่ยมเยือนและได้นำเอา "ตัวยาโอสถทิพย์ 3 ตัวยา" พร้อมสูตรการปรุงมาให้ข้าพเจ้าเพื่อรักษาอาการป่วย-(ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าคิดว่า ในใต้หล้านี้มีน้ำทิพย์เพียง 3 ชนิดเท่านั้นที่จำเป็นต่อร่างกายคือ น้ำ,เลือด,และสุราทิพย์)-ในที่นี้ขอเ่อ่ยนามมิตรสตรีทั้ง 3 นาง คือ แม่นางน้อง, แม่นางตุ๊ก, แม่นางขวัญ .....ขอขอบคุณในน้ำใจของทั้งพวกนางทั้งสาม ณ.ที่นี้ด้วย .....และตัวยาทั้ง 3 ที่ว่านั้น ได้แก่ กระเจี๊ยบแดง , พุทราจีน, ใบเตยหอม 
เมื่อปรุงเสร็จก็จะได้โอสถทิพย์ที่ล่ำลือกันว่าเป็นสุดยอดโอสถทิพย์ที่ช่วยป้องกันและรักษาการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากภาวะไขมันในเลือดสูง เช่น เบาหวาน ได้ชงัดนัก.... ข้าพเจ้าจึงได้ถือโอกาสนี้ขอแบ่งปันเคล็ดลับตัวยานี้ให้เหล่าพี่น้องและมิตรสหายจอมยุทธทั้งหลาย เพื่อตอบแทนน้ำใจของมิตรสตรีทั้งสาม และที่ขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับผู้คิดค้นตำรับยานี้เพื่้อมวลมนุษยชาติ ....ขอเจริญพร 


น้ำสามเกลอ : สุดยอดน้ำสมุนไพรป้องกันรักษาโรคที่เกิดจากไขมันในเลือดสูง

       
เป็นที่รู้กันว่าโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นจำนวนมากในแต่ละปีถ้าไม่นับโรคมะเร็งแล้ว ก็ต้องยกให้โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหลอดเลือดสมองตีบ แม้ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาโรคทั้งสองจะมีประสิทธิภาพดี แต่ก็มีผลข้างเคียงมากเช่นกัน ผ...ู้ที่รักสุขภาพจึงหันมานิยมยาสมุนไพรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่ปลอดภัยหาง่าย และมีประสิทธิภาพในการรักษาไม่แพ้กัน

สมุนไพรมีอยู่มากมายหลายตำรับ แต่ที่ตรงคำกล่าวที่ว่า "สูงสุดคืนสู่สามัญ" ยาสมุนไพรสูตรตำรับเดียว ที่ใช้ป้องกันได้ทั้งสองโรคนั้นมีอยู่ไม่กี่ตำรับ ในที่นี้ขอแนะนำตำรับหนึ่งที่มีผู้ใช้ได้ผล และบอกต่อกันมา คือตำรับกระเจี๊ยบแดง พุทราจีน และเตยหอม

สมุนไพรชนิดแรก สีแดงและรสเปรี้ยวจี๊ดของกลีบเลี้ยงผลกระเจี๊ยบแดง นอกจากมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับนิ่วในไต และในระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว ยังมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด และรักษาโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งลดความเหนียวข้นของเลือดลง ทำให้การไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกายดีขึ้น ซึ่งก็ช่วยรักษาเส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้ด้วย

สมุนไพรชนิดที่สอง รสหวาน มัน ฝาด ของผลพุทราจีนสุก ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท แก้โรคนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ยังอุดมด้วย วิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งช่วยบำรุงสายตา และเพิ่มภูมิต้านทานโรค ที่สำคัญผลพุทราช่วยลดผลข้างเคียงจากกรดซิตริกของกระเจี๊ยบ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมฤทธิ์ป้องหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และเส้นเลือดสมองตีบ

สมุนไพรชนิดที่สาม คือ รสหวานเย็นของใบเตย ช่วยบำรุงหัวใจ ชูกำลัง ลดพิษไข้ ดับพิษร้อนภายใน เตย มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pandanus amaryllifolius Roxb ชื่ออื่นๆ เตยหอมใหญ่ เตยหอมเล็ก ปาแนะวองิง (มลายู)

วิธีทำ : 
นำสมุนไพรสามเกลอ คือ กระเจี๊ยบแดงแห้ง 30 กรัม เนื้อพุทราแห้งไม่มีเมล็ด 30 กรัม ใบเตยแห้ง 5 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด เติมน้ำพอประมาณแล้วแต่ชอบข้นมากก็ใส่น้ำน้อย อยากได้ข้นน้อยก็ใส่น้ำมาก แล้วเคี่ยวไฟอ่อนๆ ราว 10-15 นาที จะเติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อยก็ได้ เพื่อให้ได้รสชาติดีขึ้น แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรเติมอะไรเพิ่ม ดื่มขณะอุ่น วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็น หลังอาหาร น้ำยาที่เหลือเก็บแช่ตู้เย็นได้ แล้วนำมาอุ่นเพื่อดื่มในมื้อต่อไป

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคเส้นเลือดสมองตีบเรื้อรัง สามารถดื่มคอกเทลสมุนไพรสูตรนี้ได้ทุกวัน ช่วยเสริมการบำบัดรักษาที่แต่ละคนดูแลสุขภาพตนเองอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ดื่มเป็นประจำรับรองว่าสมองจะแจ่มใส หัวใจสดชื่นไปอีกนาน สำหรับผู้ที่ใช้สมองมาก เช่น นักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือผู้บริหาร สามารถดื่มสมุนไพรสามเกลอนี้แทนซุปไก่สกัด หรือผลไม้สกัดราคาแพงๆ ได้เช่นกัน นอกจากจะได้ยาบำรุงสมองที่มีสรรพคุณดีกว่าแล้ว ยังได้ยาราคาถูกกว่าอีกด้วย

ที่มา : มติชน

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

์Nomad : The Warrior



ตลอด 46 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าอาจเคยได้ยิน แต่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีข้อมูล ไม่เคยมีภาพในความทรงจำเกี่่ยวกับ "คาซัคสถาน" มาก่อนเลยแม้แต่น้อย ...แต่พอได้ดูหนังเรื่อง "NOMAD : The Warrior " จึงได้เริ่มรู้ขึ้นมาบ้าง....

ดูจากหนังแล้ว ก็คิดว่า คาซัคฯในปัจจุบันก็คงเป็นเหมือน "อุยกูร์" หรือประมาณ "มองโกเลีย" หรือประมาณ "ธิเบต" อะไรประมาณนั้น เพราะเป็นดินแดนของชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน อาศัยอยู่ตามกระโจมในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เวิ้งว้าง ภูเขาหัวโล้น สุดลูกหูลูกตาไม่มีต้นไม้ซักต้น ลมพัดแรงตลอดเวลา เหมือนมองโกล ที่เราเห็นใน มังกรหยกก๋วยเจ๋ง หรือหนังเรื่อง เจงกิสข่าน ทำนองนั้น ......ต่อเมื่อได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหลังจากดูหนังเรื่องนี้..ก็ทำให้เป็น "งึด"...   โอ้โฮ...คาซัคฯ นี่ไม่ธรรมดาเลย......

ปัจจุบัน คาซัคฯ เป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของโลก เทียบเท่า พื้นที่ยุโรปตะวันตกทั้งผืนทีเดียว และเป็น "สาธารณรัฐ" เสียด้วย บ้านเมืองทันสมัย ตึกระฟ้า โอ้โฮ....เศรษฐกิจไม่กระจอกเลยครับ ...มีความสัมพันธไมตรีกับไทยเราด้วยนะ
อยากรู้จัก "คาซัคสถาน" มากขึ้น ก็อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ 

กลับมาที่หนัง NOMAD .....ดูสนุก ดูง่าย มีพระเอก มีนางเอก มีผู้ร้าย มีการต่อสู้เพื่อบ้านเมืองและความรัก ...ฉากวิวสวย ถ่ายภาพสวย เงาแสงเหมือนภาพจิตกรรมเลยทีเดียว...เป็นหนังที่เล่าถึงประวัติศาสตร์การก่อร่างสร้างอาณาจักรของชนเผ่า "คาซัค".. ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเพิ่งได้รู้ว่านอกจากพวกมองโกลแล้ว ยังมีมนุษย์เผ่าอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย ที่อาศัยอยู่บริเวณแถบนั้น และมีเรื่องราวยิ่งใหญ่ไม่แพ้ชนเผ่าอื่นใดเลย ... ที่สนุกก็คือ หน้าตาผู้คนที่นั่น ทั้งศาสนา/ความเชื่อที่ผสมผสานและหลากหลายมาก ...ดูไปจะเป็นแขกแบบอาหรับก็ไม่ใช่ จะเป็นฝรั่งแบบรัสเซียก็ไม่เชิง แถมยังมีส่วนคล้ายเอเซียอีกต่างหาก เดี๋ยวก็ "มาเลกุม" เดี๋ยวก็ "อาเมน" (ตามหนังไม่ทันบางทีก็เวียนหัวได้)...

มีดาราที่ข้าพเจ้าชื่นชอบเล่นเป็นอาจารย์เจไดของพระเอกด้วย คือ Jason Scott Lee (ฺBruce Lee : The Legend of  Dragon) นางเอกก็น่ารักดี

สืบทราบมาว่า NO MAD เป็นหนังของประเทศคาซัคสถานเองที่ลงทุนสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ และใช้เวลาการสร้างนานถึง 2 ปีเต็ม แต่ใช้บริการผู้กำกับ Hollywood เจ้าของสองรางวัลออสการ์ ไมลอส ฟอร์แมน ซึ่งผลงานที่เรารู้จักกันดีคือ Amadeus และ One Flew Over the Cuckoo’s Nest  ฝีมือระดับนี้ย่อม Guarantee ได้


เรื่องราวของ NO MAD ดัดแปลงมาจากประวัติชีวิตของ อับไลข่าน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ปกครองดินแดนคาซัคส่วนกลาง ซึ่งประกอบไปด้วยเผ่าเล็กๆ น้อยๆ ราว 6 ชนเผ่า ที่แบ่งฝักฝ่ายและทําสงครามกันมายาวนาน และ อับไลข่าน เป็นนักรบคนแรกที่สามารถรวบรวมชนเผ่าทั้ง 6 เป็นปึกแผ่นเดียวกัน ป้องกันการรุกรานจากศัตรูรอบนอก
โดยเรื่องราวเริ่มขึ้นหลังจากยุค เจงกิสข่าน ก็ไม่มีผู้ใดสามารถรวมเผ่าต่างๆให้เป็นหนึ่ง แต่แล้วนักปราชญ์โอราซ (เจสัน สก๊อต ลี) ก็ทํานายว่าเด็กน้อย อับไลข่าน จะเป็นผู้รวบรวมประชาชนเป็นหนึ่ง เขาจึงเรียกคนที่ฝีมือดีที่สุดในแต่ละชนเผ่า เพื่อเข้ามาสอนศิลปะการต่อสู้ความจงรักภักดีและความเป็นมิตร ซึ่งนําโดยสองนักรบที่เก่งที่สุดอย่าง แมนเซอร์ (คูโน เบ็คเกอร์) และ อีราลีย์ (เจย์เฮอร์นานเดซ) หนึ่งในสองคนนี้จะเป็นผู้ที่กําหนดชะตากรรมและรวบรวมเผ่าทุกเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
แนะนำครับ ร้านเช่า VDO น่าจะมี .....ดูตัวอย่างได้เลยครับ

ดูแล้วอยากรู้จัก "คาซัคสถาน" มากขึ้น ก็อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ 

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

Sugar & Spice



กำกับภาพยนตร์ โดย อิซามุ นากาเอะ

หนังญี่ปุ่น Drama / Romantic ว่าด้วยสาระของ "การเรียนรู้ชีวิต" ในมิติของ "ความรัก"(หนุ่มสาว) และ "การผิดหวัง/พลัดพราก" ที่มีทั้งรสชาติหอมหวานน่าพิศมัยและความเจ็บปวดร้าวราน ....ดูยามว่างๆสบายๆช่วงสงกรานต์....ก็น่าสนใจดี ..

ที่หยิบเรื่องนี้มาดู ก็เพราะเมียบ่นว่าข้าพเจ้าดูแต่หนังเครียดๆ หาหนังสบายๆมาดูมั่งสิ เอ้า..ดูก็ดูว่ะ

ดูช่วงแรกๆของหนังจะน่ารำคาญไปหน่อยที่ผู้กำกับไม่ค่อยคุมโทนของหนัง ซึ่งออกไปทางตลกแบบหนังวัยรุ่นเอเซีย(แบบไม่ค่อยจริงจัง)...ค่อยดูดีขึ้นช่วงครึ่งหลัง...ถือว่าพอถูไถ ....เพลงประกอบไตเติลปิดหนังน่าสนใจนะ ถ้าจำไม่ผิด เป็นเพลง I love you,Baby ของ Paul Anka แต่ทำ Version ใหม่(รึเปล่า?)...

ใครพอมีประสบการณ์ชีวิตเรื่องความรักและความผิดหวัง ก็คงพอซึมซับอารมณ์จากหนังได้ ดูแล้วก็ให้นึกถึงวัยหนุ่ม(ที่ผ่านมาหยกๆ) แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้จักความรัก ไม่เคยพบความผิดหวังถูกทอดทิ้ง ก็ไม่แน่ใจว่าจะ Get หรือไม่?

ดูตัวอย่างและฟังเพลงประกอบ



อยากติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม อาจเริ่มต้นดูได้ที่ Link ข้างล่างนี้

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

A Tale of the Two Cities

A Tale of the Two Cities
ด้านมืดและสว่างในใจมนุษย์ ท่ามกลางการต่อสู้ทางชนชั้น



เมื่อคืนข้าพเจ้าหยิบ VCD เรื่อง The Tale of the Two Cities ฉบับที่สร้างโดย บริษัทฮอลล์มาร์ก สำหรับฉายทาง TV CBS    (ปี 1980/2523) ซึ่งกำกับโดยJim Goddard  มาดู ก็สนุกดีครับ มีบริบทของเรื่องเป็นยุคสมัยของการปฏิวัติประชาธิปไตยของฝรั่งเศส หนังยาวตั้งเกือบ 3 ชม. แต่ก็ดูเพลินดี ไม่ง่วง
หนังเรื่องนี้ พวกนักเรียน/นักศึกษาสายศิลป์ภาษา หรือใครที่พอชอบอ่านวรรณกรรมระดับโลก หรือสนใจติดตามศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองของโลกก็ต้องพอรู้จักกันมั่งว่า หนังเรื่องนี้สร้างจากวรรณกรรมชิ้นเอกของ Charles Dickens นักเขียนนิยายชาวอังกฤษนามกระเดื่อง(1812/2355 – 1870/2413) คือคนเดียวกันที่เขียน Oliver Twist นั่นแหละครับ

สรุป Plot อย่างย่อ

Dickens ใช้เรื่องราวของความรัก 3 เส้า ของหนึ่งหนุ่มชาวฝรั่งเศส หนึ่งสาวชาวอังกฤษและอีกหนึ่งหนุ่มชาวอังกฤษในท่ามกลางสถานการณ์การลุกฮือปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นกลางและไพร่ทาสในประเทศฝรั่งเศส(ช่วงปี 1789/2332)เป็นตัวเดินเรื่อง เพื่อนำไปสู่ Theme ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า

เริ่องเริ่มที่ Charles Darnay หนุ่มชาวฝรั่งเศสชนชั้นขุนนางศักดินาตระกูล Evremonde  แต่มีความคิดสมัยใหม่ ได้ละทิ้งยศฐาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายไว้เบื้องหลังแล้วอพยพไปอยู่อังกฤษ  ระหว่างทางไปอังกฤษได้เจอและชอบพอกันกับสาวสวยชาวอังกฤษชื่อ Lucie Manette (Lucie เดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อพาพ่อของเธอซึ่งเป็นหมอกลับอังกฤษ หลังจากที่พ่อของเธอถูกปล่อยตัวออกมาจากการขังลืมในคุกบาสตีย์นานถึง 16 ปี)

Charles Darnay เมื่อมาอยู่อังกฤษก็ถูกจับขึ้นศาลข้อหาเป็นสายลับให้ฝรั่งเศส(ช่วงนี้ เป็นช่วงที่อังกฤษกับฝรั่งเศสทะเลาะและทำสงครามแย่งดินแดนกันในเอมริกาเหนือ ) Darnay ก็ได้รับการช่วยเหลือในการเป็นพยานความบริสุทธิ์จาก Lucie และพ่อของเธอ โดยมี Sydney Carton (หนุ่มชาวอังกฤษ ชนชั้นกลาง-อาชีพทนายความ นิสัยห่ามและขี้เมา)เป็นทนายว่าความให้จนพ้นผิด

ทั้ง Darnay และ Carton เสือกมีหน้าตาคล้ายกัน  และทั้ง 2 ก็หลงรัก Lucie เหมือนกัน
แต่  Lucie เลือกแต่งงานกับ Darnay และมีลูกด้วยกัน 1 คน ส่วน Carton ก็ได้แต่เก็บความรักของเขาที่มีต่อ Lucie ไว้ในใจเอาไว้แกล้มเหล้ายามเดียวดายค่ำคืนใต้เงาจันทร์

ต่อมาเกิดการลุกฮือโค่นล้มระบอบศักดินาในฝรั่งเศส  Darnay ได้รับจดหมายจากคนรับใช้เก่าของเขาสมัยที่อยู่ตระกูล Evremonde  ว่าได้ถูกจับและกำลังจะถูกประหารชีวิตข้อหาเป็นขี้ข้ารับใช้ศักดินา Darnay จึงรีบเดินทางกลับฝรั่งเศสอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือคนรับใช้ของเขา  แต่ Darnay กลับถูกแกนนำมวลชนปฏิวัติที่ชื่อ Teresa Defarge แจ้งความให้กองกำลังฝ่ายปฏิวัติเข้าจับกุมในข้อหาเป็นพวกขุนนางศักดินาชั่ว(Teresa Defarge เคียดแค้นชิงชังต่อ Marquis of Evremonde ขุนนางโฉดชั่ว ผู้เป็นอาของ Darnay ซึ่งทำให้น้องสาวของเธอถูกฆ่าตาย และเธอสาบานว่าจะต้องทำลายล้างคนในตระกูล Evremonde ทุกคนไม่ให้เหลือ)



Lucie และพ่อของเธอ(Dr. Manette) เดินทางมาฝรั่งเศสเพื่อหวังช่วย Darnay ให้รอดพ้นจากการถูกประหารด้วยกีโยติน (Dr. Manette พอจะมีบารมีอยู่บ้างในฐานะหมอที่เคยอุทิศตนช่วยเหลือมวลชนไพร่ในฝรั่งเศส จนถูกพวกขุนนางฝรั่งเศสกลั่นแกล้งและจับขังคุกบาสตีย์นานถึง 16 ปี) โดยการเป็นพยานแก้ต่างว่า Darnay ได้เลิกฐานะและความคิดแบบศักดินาไปนานแล้ว ในที่สุดศาลของฝ่ายปฏิวัติก็พิพากษาให้ Darnay พ้นความผิดและให้ปล่อยตัวเป็นอิสระ

แต่เหตุการณ์พลิกผัน เมื่อ Teresa Defarge งัดเอา สมุดบันทึกน้อยของ Dr. Manette ที่เขียนไว้เมื่อครั้งที่อยู่ในคุกบาสตีย์ ออกมาเป็นหลักฐานว่า Dr. Manette เองเคยเขียนไว้ว่าตระกูล Evremonde เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องถูกจับขังคุกอย่างทุกข์ทรมาน และหากเมื่อเขาได้ออกจากคุกเมื่อใด เขาจะต้องจัดการคนในตระกูลนี้ให้สาสมเช่นเดียวกัน  คราวนี้ Darnay จึงถูกจับอีกครั้ง ลูกขุนลงคำพิพากษาให้มีความผิดและให้ประหารชีวิตด้วยกีโยติน

Lucie และ Dr. Manette ได้ส่งข่าวให้ Sydney Carton รีบมาช่วย Darnay  ซึ่ง Carton รับปากว่าเขาจะพาตัว Darnay กลับมาสู่อ้อมแขนของ  Lucie ให้ได้อย่างแน่นอน  แต่ท่ามกลางกระแสการลุกฮือปฏิวัติของมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยที่ลุกลามอย่างรุนแรง  ทุกอย่างสายเกินแก้  รุ่งเช้าวันต่อมา กองกำลังฝ่ายปฏิวัติ นำตัว Darnay ขึ้นสู่แท่นประหาร ท่ามกลางเสียงโห่ร้องสาบแช่งและขว้างปาก้อนหินของฝูงมวลชนที่รายล้อมรอดูการประหาร เพชฌฆาตจับตัว Darnay มัดติดกับแผ่นกระดานใต้เครื่องประหารกีโยติน กดล๊อคคอของเขาให้อยู่ในตำแหน่ง พร้อมกับปล่อยเชือกให้ใบมีดเหล็กแผ่นหนาคมวิ่งลงมาตัดหัวของเขาจนขาดกระเด็น

ในระหว่างเช้าวันนั้นเอง Lucie และ Dr. Manette  รีบเดินทางออกจากฝรั่งเศสและหยุดรอระหว่างทางกลับอังกฤษ ตามแผนการที่ Carton ได้นัดแนะเอาไว้ว่าจะพาตัว Darnay มาส่งให้ และในที่สุดก็มีคนนำ ตัว Darnay ที่อยู่ในสภาพหมดสติมายังจุดนัดหมายจริงๆ ...กองกำลังฝ่ายปฏิวัติไล่ติดตามมาจนทันและเข้าตรวจค้นรถม้า พบเอกสารในกระเป๋าเสื้อของ ระบุว่าเป็น Sydney Carton จึงปล่อยให้รถม้าคันนั้นเดินทางกลับอังกฤษได้ตามสะดวก .... Dr. Manette ถึงกับตลึงงันเงียบอึ้งไปครึงค่อนวัน และแน่นอน Lucie น้ำตาไหลอาบแก้มตลอดทาง ..เธอรับรู้แล้วว่าความรักที่ Carton มีให้เธอนั้น เป็นความรักที่ยอมได้แม้กระทั่งชีวิตเพื่อแลกกับความสุขของเธอ
(Carton วางแผนเข้าไปหา Darnay ในคุก โปะยาสลบ Darnay  แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองสลับใส่ให้ Darnay แทน และให้สายลับอุ้มพา Darnay ออกไปหา Lucie ตามที่นัดแนะไว้)
  
นี่แค่ Plot ก็สนุกแล้ว Dickens เขียนนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อ 152 ปีที่แล้ว โอ้โฮ
พรุ่งนี้มาต่อกันใหม่ จะคุยถึง Theme และบริบทเบื้องหลังทางเศรษฐกิจการเมืองที่เกี่ยวข้องกับนิยายเรื่องนี้ รวมถึงคุยถึงตัว Charles Dickens ด้วยครับ


วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Kurtlar vadisi - Irak (2006)

กระชากหน้ากากซากเดนศักดินา
หมวดเรื่อง : กลไก+ทุนเสบียงขี้เหลือง
ตอน : CIA ในอิรัก(และไทย)


122 min  -  Action | Adventure   -  3 February 2006 (Syria)
Directors: Serdar Akar, Sadullah Sentürk
Writers: Raci Sasmaz (screenplay), Bahadir Özdener (screenplay)
Stars: Necati Sasmaz, Billy Zane and Ghassan Massoud

เมื่อคืนข้าพเจ้าได้ดูหนังเรื่อง “ปฏิบัติการลุยแดนเดือดอิรัก” ซึ่งต้นฉบับชื่อ "Valley of the Wolves Iraq"    ดูแล้วมันส์มาก ทั้งสนุก ทั้งลุ้น และทั้งได้ข้อมูล/มุมมองดีๆที่น่าสนใจอย่างมาก เกี่ยวกับความชั่วของ CIA และอเมริกา. ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกลับมาย้อนดูปัญหาการเมืองบ้านเราที่ยังคงมีอิทธิพลของ CIA อยู่เบื้องหลังใกล้ชิดแนบแน่นกับ “กลุ่มเผด็จการอำมาตย์อันมีทุนซากเดนศักดินาบงการอยู่เบื้องหลัง” แม้ในปัจจุบันที่เราคิดว่าหมดยุคนั้นไปแล้ว - ข้อมูลของ วิกิลิ๊ค ที่เผยแพร่กรณี กลุ่มองคมนตรีแอบเข้าพบสถานทูตอเมริกาเพื่อพูดคุยกันเรื่อง ร.10 กันอย่างลับๆ ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของอิทธิพลของ CIA เป็นอย่างดี -  ก็เลยอยากแบ่งปันและแนะนำให้ท่านไปหาหนังเรื่องนี้มาดูกันมั่ง. เป็นหนังทุนสร้างสูงสุดของตุรกีและนำเสนอเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในช่วงกองกำลังสหรัฐอเมริกาทำสงครามยึดครองอิรัก

Theme : หนังพยายามสื่อต่อคนดูว่า การใช้ความรุนแรง การทำลายชีวิตผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อรุกราน หรือตอบโต้ล้างแค้น ไม่ว่าจะอ้างว่าทำเพื่อพระเจ้า(ทั้งคริส หรือ มุสลิม) ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่ดีทั้งสิ้น  สุดท้ายก็จบลงด้วยการสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะกับชีวิตของผู้บริสุทธิ์(แต่หนังบอกไม่ค่อยชัดเท่าไรว่า แล้วทางออกควรจะเป็นอย่างไร ในเมื่อฝ่ายหนึ่งรุกรานเข่นฆ่าทารุณต่ออีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม) 

Plot : หนังนำเสนอเหตุการณ์จริงในวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 2546(ตรงกับวันชาติขิงอเมริกาพอดี) ทางเหนือของอิรัก ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่อเมริกาบุกอิรักสำเร็จ จนซัดดัมต้องหนีลงใต้ดิน อเมริกันหนุนรัฐบาลใหม่เป็นหุ่นเชิด และทำการไล่ล่ากลุ่มติดอาวุธอย่างหนัก.  ทหารอเมริกันโดยมี CIA บงการอยู่เบื้องหลังได้บุกจับทหารตุรกี 11 นายเป็นเชลย เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับตุรกีในเวลาต่อมา. พระเอกและทีมงานซึ่งเป็นอดีตทหารตุรกีลอบเข้าอิรักเพื่อสังหารหัวหน้า CIA ที่ชื่อ Sam Marshall .


หนังโชว์ให้เห็นถึงความชั่วร้ายของ CIA ที่เข้าไปบงการแทรกแซงทั้งทางการเมืองและการทหารในประเทศโลกที่สามอย่างอิรัก โดยอ้างความชอบธรรมให้กับการกระทำชั่วของตนเอง ด้วยการอ้างว่าทำเพื่อพระเจ้า(คริสเตียน) ในการไล่ฆ่า “ผู้ก่อการร้าย”ได้อย่างชอบธรรมตามอคติเหยียดหยามต่อมุสลิมแบบเหมาเข่ง มีฉากที่ทหารอเมริกันบุกเข้างานแต่งงานและยิงเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งต่อหน้าแม่ของเขาเอง พร้อมกับใช้ปืนกลยิงกราดฆ่าผู้บริสุทธิ์หลายสิบคน จ่อยิงที่ศีรษะเจ้าบ่าว และลากผู้รอดชีวิตที่เหลือเข้าคุมขังและทรมานที่เรือนจำ “อาบู กราอิบ” อันอื้อฉาว. ที่ยิ่งเลวร้ายกว่านั้น คือมีหมอชาวยิวแอบตัดอวัยวะภายในของผู้ต้องหาส่งไปขายต่อให้กับคนรวยในนิวยอร์ก ลอนดอน และเทลอาวีฟ.
อย่างไรก็ดี หนังพยายามสอดแทรกให้เห็นว่าในหมู่ทหารอเมริกันก็มีทั้งคนเลวและคนดี. รวมทั้งมีมุสลิมต้องการล้างแค้นด้วยการฆ่า/ระเบิดพลีชีพเพื่อตอบโต้ และก็มีมุสลิมที่ต้องการสู้อย่างสันติ โดยมี “ชี๊ค” ยืนยันคำสอนของศาสดาที่ไม่สนับสนุนการฆ่าล้างแค้นใดๆทั้งสิ้น

ข่าวว่าภาพยนตร์เรื่อง "Valley of the Wolves Iraq" ใช้ทุนสร้างถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 400 ล้านบาท และเป็นหนังตุรกีเรื่องล่าสุดที่นำเสนอภาพสหรัฐในด้านมืด โดยมีบิลลี่ เซน ดาราอเมริกัน ร่วมแสดงในบททหารกองกำลังสหรัฐ ร่วมด้วยแกรี่ บิวซีย์ รับบทหมอชาวอเมริกันเชื้อสายยิว
นอกจากนี้ บาฮาดีร์ อุซดีเนร์ ผู้เขียนบทยังต้องการนำเสนอเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในอิรักด้วย "Valley of the Wolves Iraq" เปิดตัวที่ เทศกาลหนังมุสลิม ที่ San Francisco เมื่อปี 2006 และมีคิวฉายในอีก 10 กว่าประเทศ ได้แก่ สหรัฐ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ เดนมาร์ก รัสเซีย อียิปต์ ซีเรีย และออสเตรเลีย โดยเฉพาะที่เยอรมนี ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ยกเลิกการจัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื่องจากมีเนื้อหาเหยียดผิวและอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างโลกมุสลิมกับโลกตะวันตกมากขึ้น


วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

6 ตุลาอาลัย ฝุ่นใต้ตีนใครปลิวไปกับลม


ร่วมรำลึกด้วยเพลงนี้ค่ะ

เชิดชูประชาธิปไตย เรื่อง : วีรชนประชาธิปไตย 6 ตุลา 19 ตอน : สถานะทางประวัติศาสตร์และภาพที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน



Unseen 6 ตุลา 2519-ในปีนี้ มีภาพเหตุการณ์วันที่ 6 ต.ค.2519 ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนจำนวน 25 ภาพ ส่งมาจากอดีตนักเรียนอาชีวะผู้ไม่ประสงค์ออกนาม โดยภาพชุดดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ช่วงเช้า หลังมีการใช้กำลังตำรวจ-ตชด. บุกเข้าไปใน มธ.

ภาพชุดดังกล่าว มีชายคนหนึ่งถูกใส่กุญแจมือ ลากลงจากรถ และนำมาแขวนคอ โดยจากการตรวจสอบ ชายในภาพเป็นคนละคนกับชายในภาพที่ถูกแขวนคอซึ่งเผยแพร่ก่อนหน้านี้ ซึ่งคือ วิชิตชัย อมรกุล นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุมใน มธ. ช่วงคืนวันที่ 5 ต่อเช้าวันที่ 6 อย่างไรก็ตาม จนขณะนี้ยังไม่ทราบว่าชายคนดังกล่าว และคนอื่นๆ ในภาพเป็นใคร ทั้งนี้ หากมีผู้ทราบเบาะแสก็สามารถติดต่อมาที่ตนเองในฐานะผู้ประสานงานคณะกรรมการรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ได้(ที่มา:ประชาไท )

-รู้จักเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่เว็บไซต์ http://2519.net/
...................
บทความนี้เป็นการวิเคราะห์ของ อ.ชาญวิทย์ เกษตรสิริ น่าสนใจมาก

อ่านรายละเอียดได้ โดย Click ที่ Link ข้างล่างนี้

http://thaienews.blogspot.com/2011/10/356.html

ทบทวนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519


พลเมืองของประเทศนี้ ควรได้เรียนรู้ จดจำและตึกตรองบทเรียนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ให้จงหนัก. เมื่อนักศึกษาประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยถูกใส่ร้ายป้ายสีและถูกล้อมฆ่าอย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อน โดยน้ำมือของพวกเผด็จการอำมาตย์ที่มีทุนซากเดนศักดินาและCIA บงการอยู่เบื้องหลัง. การลอบสังหารและล้อมฆ่าประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างอำมหิตเช่นนี้ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งก่อนหน้าและระหว่างเหตุการณ์ทางเมืองที่สำคัญ นับตั้งแต่การปฏิวัติประชาธิปไตย 2475 - 14 ตุลา 2516 - 6 ตุลา 2519 - พฤษภา 2535 เมษาและพฤษภา 2554 . วีรชนประชาธิปไตยได้เสียสละเลือดเนื้อ ร่างกายและชีวิตของพวกเขาทับถมกองแล้วกองเล่าเพียงหวังให้พลเมืองของประเทศนี้ได้อยู่ในสังคมแห่งเสรีภาพและเสมอภาคอย่างแท้จริง...ถึงแม้จะอีกยาวใกล. หนทางเดียวเท่านั้น คือ โครงสร้างอำนาจ-กฎหมาย/กติกา-อุดมการณ์-กลไกและทุนเสบียงของเผด็จการอำมาตย์และทุนซากเดนศักดินาจะต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก ....และฆาตกรจะต้องถูกลงโทษ.

บทความนี้เป็นสรุปเหตุการณ์ที่พวกกลุ่มเผด็จการอำมาตย์และกลุ่มมวลชนจัดตั้งฝ่ายขวาจัด อันมีทุนซากเดนศักดินาบงการอยู่เบื้องหลัง เข้าล้อมฆ่าประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยใน ม.ธรรมศาสตร์ เมื่อ 6 ตุลา 2519
อ่านรายละเอียดได้ โดย Click ที่ Link ข้างล่างนี้
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C_6_%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2

เพลงเย้ยยุทธจักร version 8


อาหารดี ดนตรีไพเราะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

เราควรทำอะไร ในสถานการณ์หลังเพื่อไทยเป็นรัฐบาล?ตอนที่ 2

ข้อปรึกษาหารือเบื้องต้น
เรื่อง เราควรทำอะไร ในสถานการณ์หลังเพื่อไทยเป็นรัฐบาล?
ตอนที่ 2 : การถูกโจมตีรายวันจากฝ่ายขวา

หม่อมแม่

จากตอนที่ 1 เรื่องการมุ่งจัดการ 4 เงื่อนไขที่ค้ำยันอำนาจเผด็จการอำมาตย์+ทุนซากเดนศักดินาไปแล้ว ในตอนนี้จะขอปรึกษาเรื่อง เราจะทำยังไงกับการโจมตีรายวันของฝ่ายขวา ตามนี้ค่ะ


ฝ่ายขวาใช้กลยุทธ์โจมตีรายวันเพื่อรอพลิกฟื้นอำนาจ
ในขณะนี้ ฝ่ายขวาพยามยามทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายฝ่าย ปชต.อยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่อง ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกเม็ด ทุกการเคลื่อนไหว ตั้งแต่เรื่อง คดีให้การเท็จของยิ่งลักษณ์, แกล้งให้เสียหน้าพิธีรับใบแต่งตั้งนายกฯพร้อมประกาศเป็นนัยว่าสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีอำนาจสูงสุดนะโว้ย, ทักษิณไปญี่ปุ่น,         นโยบายการลดราคาน้ำมัน, การขึ้นค่าแรง, การจำนำข้าว, การแจก Tablet  แก่นักเรียน, การแต่งตั้งเสื้อแดงเป็นข้าราชการการเมือง, การปรับผังรายการทีวีช่อง 11, การโยกย้ายและแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง,        การแก้รัฐธรรมนูญ – แม้แต่ประเด็นเรื่องค่าอาหารทีมงานนายกฯ - ประมาณว่า นโยบายของเพื่อไทยทุกอย่างแม่งเลวหมด บ้านเมืองจะต้องล่มจมชิบหาย แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ ธรณีจะสูบ เผ่าพันธุ์จะสูญสิ้น .สำหรับกลยุทธ์โจมตีรายวันของฝ่ายขวาแบบนี้ ข้าพเจ้าเองคิดว่า นี่คงไม่ใช่เป็นรูปแบบการรบของพวกมัน แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นวิธีรบที่ทำให้ฝ่าย ปชต.ไม่มีเวลาตั้งตัว และต้องมาเสียเวลากับพวกมันรายวัน เพื่อพวกมันจะได้มีเวลาเตรียมสะสมกำลังพลิกฟื้นเพื่อทำสงครามแตกหักครั้งใหญ่อย่างแน่นอน  - ในขณะที่เราจะไม่สนใจการโจมตีรายวันของพวกมันเลยก็เป็นไปไม่ได้ เช่นกัน

ฝ่าย ปชต.อย่าประมาทต่อกลยุทธ์โจมตีรายวันของฝ่ายขวา
การเคลื่อนไหวโจมตีรายวันแบบนี้ ฝ่ายปชต.จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด เพราะ ก่อน 19 กันยา 49 พวกมันก็ใช้วิธีนี้อย่างได้ผล – ด้วยวิธีการเอาเรื่องรูปธรรมที่มีข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งมาบิดเบือนผสมกับเรื่องโกหกและใส่ตรรกะห่วยแตกกวนตีนเข้าไป(ที่เราคิดว่าเป็นตรรกะแบบโง่ๆ-แต่มันมักได้ผลเสมอในสังคมไทย)   แล้วพูดกรอกหูมวลชนทุกวันๆๆๆๆ. ในขณะที่เพื่อไทยเลือกใช้วิธีไม่ตอบโต้/วิญญูชน(เดินหน้าทำงาน-  สไตล์ทักษิณอีกแล้ว)-จะมีตอบโต้บ้างก็เพียงบางโอกาสและตอบเป็นภาษาแบบชาวบ้านให้ชาวบ้านเข้าใจได้ไม่ค่อยเคลียร์เท่าใดนัก(คือพูดไม่เต็มตีนว่างั้นเถอะ). ทางฝ่าย นปช.ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงภารกิจด้านนี้ – จะมีก็แต่กลุ่มพี่น้องแดงที่ต่อสู้เรื่องปล่อยตัวนักโทษการเมือง.  ฝ่าย ปชต.ที่กระจัดกระจาย ต่างก็ทำไปแบบเชิงรับตามโอกาสและเงื่อนไขของแต่ละคน ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่ของ internet ที่เป็นลักษณะบ่นและคุยกันเอง ข้าพเจ้าเห็นว่ายังมีลักษณะของการเคลื่อนไหวเชิงรุกไม่มากพอ ซึ่งจะทำเชิงรุกได้ ต้องวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการจะสื่อ “สาร” ออกไป.  นี่ยังไม่นับที่ เพื่อไทยมันจะเอาขนาดไหน  ในเรื่อง ปชต. – เช่น  การให้ประกันนักโทษการเมือง, การเอาฆาตรกรมาลงโทษ, อนุดิษฐ์กับเฉลิมออกมาพูดหลายครั้งแล้วเรื่องจะจัดการ web หมิ่นอย่างเด็ดขาด เป็นต้น นอกจากนั้น ความเข้าใจ/ความขัดแย้งระหว่างขบวนแดงเอง กับ นปช. กับแกนที่เข้าไปเป็น รมต.เป็นข้าราชการการเมือง จะมีโอกาสถูกสายลับของพวกมันทำการปั่นหูยุแยง จนลามไปถึงการแตกแยกจนทำให้อ่อนแอไปหรือไม่ . ล่าสุด เรื่องค่าอาหารทีมงานนายกฯ และเรื่องบางระกำโมเดล(ทีวีขวาเอาชาวบ้านที่เดือดร้อนตกหล่นมาออกข่าวด่ากระแนะ     กระแหนทุกวัน)-ซึ่งบางอย่างเป็นจริง

ภารกิจแย่งชิงมวลชนโดยการครองการนำทางอุดมการณ์
อย่าลืมว่า ยุทธศาตร์สำคัญของฝ่าย ปชต.อย่างหนึ่งคือ เนื่องจากว่า เราไม่ได้ใช้ยุทธศาสตร์การต่อสู้ยึดอำนาจรัฐด้วยอาวุธ ดังนั้น เราจึงต้องมุ่งเน้นยุทธศาสตร์การชิงการนำทางอุดมการณ์ความคิด /การแย่งชิงมวลชน : จากแดงทักษิณให้เป็นแดงปชต.มากขึ้น, จากแดง ปชต.ให้เป็นแดงก้าวหน้ามากขึ้น,              จากแดงก้าวหน้าให้เป็นองค์กรจัดตั้ง/ขบวนที่เข้มแข็งมากขึ้น(เข้มแข็งไม่ได้แปลว่าต้องรวมศูนย์อย่างเดียว), จากส้มให้กลายเป็นแดง, จากเหลืองอ่อนให้กลายเป็นส้มให้มากขึ้น – ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้อุดมการณ์ ปชต.เข้าไปครอบคลุมมวลชนให้ได้มากที่สุด ในพื้นที่ ในกลุ่มชนชั้น ในกลุ่มสาขาอาชีพ ให้ได้มากที่สุด –ระบบ/กติกา ปชต.จึงจะสามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงในประเทศไทยของเราเสียที. ประเด็นปัญหา   ก็คือ จะทำอย่างไร จึงจะสามารถครองการนำทางอุดมการณ์(ปชต.)และแย่งชิงมวลชนได้สำเร็จ?      ข้าพเจ้าคิดว่า นอกเหนือจากภารกิจการจัดตั้งองค์กรมวลชนแดงที่เข้มแข็ง     และภารกิจผลักดันข้อเสนอการสร้างระบอบ ปชต.ที่ก้าวหน้าสมบูรณ์ในระยะยาวแล้วนั้น  ฝ่าย ปชต.จำเป็นจะต้องเข้าช่วยหนุนเพื่อไทย ในการถูกโจมตีรายวันด้วย – ซึ่งมันจะเกี่ยวพันกับสถาปนาอุดมการณ์ ปชต. คือ มันก็ต้องอธิบาย “ผ่านประเด็นรูปธรรม-รายวัน”ที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในสังคมปัจจุบันด้วยนั่นแหละ ซึ่งจำเป็นต้องสื่อ “ข้อมูล+สาร+ตรรกะ+ข้อวิจารณ์+ข้อเสนอที่ดีกว่า” ในแต่ละประเด็นที่ถูกโจมตีเหล่านั้นออกไป อย่างทันการณ์  

ทุกวันนี้ มีคนเขียน คนทำเพื่อตอบโต้เยอะแยะแล้ว?
ถูกต้อง มีเยอะมาก และหลายชิ้นก็ดีมากๆด้วย แต่ยังมีลักษณะกระจัดกระจาย, เป็นการอธิบายบางมุมในหนึ่งเรื่องเท่านั้น ทั้งยังอ่านกันอยู่ในหมู่ผู้สนใจที่นั่งหน้าจอคอมพ์เท่านั้น ,ยังไม่เป็น Package หรือคู่มือ            ที่ชาวบ้านมวลชนทั่วไปเข้าถึงและนำไปใช้ได้อย่างง่าย เช่น บทความของนิติราษฎร์,คำผกา,บทความใน Thai e –news,ในประชาไทย,ในฟ้าเดียวกัน,ในมติชน ฯลฯ  ทีนี้ต้องเข้าใจว่ามันมี 2 ประเภทใหญ่ๆของชุดคู่มือข้อมูล ได้แก่ 1) ชุดเพื่อเข้าใจและผลักดันระบบ ปชต.ที่สมบูรณ์ เช่น เรื่อง รธน.,สว.,องค์กรอิสระ,ทหาร,ศาล ฯลฯ  กับ 2) ชุดเพื่อเข้าใจและตอบโต้การโจมตีปัญหารูปธรรม เช่น ประเด็นการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการ, การลดราคาน้ำมัน, การขึ้นค่าแรง เป็นต้น  ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงใคร่เสนอว่า หากมวลชนสามารถมี “คู่มือ” ที่สามารถใช้ทำความเข้าใจ, มีข้อมูลอ้างอิง, ใช้ตอบโต้หรืออธิบายให้ผู้อื่นเห็นด้วย-ได้อย่างง่าย    เป็นข้อๆ และอย่างเป็นระบบ ก็จะดีไม่น้อย  ตัวอย่าง คู่มือที่น่าสนใจ ก็อย่างเช่น ชุดข้อมูลความรู้ของชูพงศ์ หรือชุดของบรรพต เป็นต้น

ข้าพเจ้าคิดว่าภารกิจเพื่อหนุนช่วยการต่อสู้ในแนวรบด้านนี้ก็มีความสำคัญมากไม่แพ้งานระยะยาวที่ได้คุยกัน – ภารกิจระยะยาวจะเป็นไปอย่างลำบาก หากระยะสั้นมีแต่ขวากหนามทิ่มแทงหรือปล่อยให้ถูกซุ่มตีรายวัน

ประเด็นคือ จะทำยังไง? เพราะมันต้องทำทั้งข้อมูล รวบรวม สังเคราะห์ และทำออกมาเป็น Package เป็น คู่มือ/เครื่องมือ ให้ชาวบ้านเอาไปใช้ 
คือ นึกภาพออกไหมว่า ชาวบ้านเข้าใจนะ แต่เวลาจะไปพูด หรือถกเถียง ชาวบ้านจะขาดข้อมูลไง จะดีไหม ถ้าชาวบ้าน มี "เครื่องมือ-คู่มือ" เอาไว้ติดมือ ไปโฆษณาต่อ ตอบเป็นข้อๆ มีข้อมูลยันด้วย เป็นระบบ เบ๊ะๆๆๆๆ เอาให้คนฟังต้อง พยักหน้าหงึกๆๆ หรือสำหรับพวกที่จ้องเถียง ให้เอาแบบ อ้าปากเถียงไม่ได้ ต้องอ้าปากค้าง อะ ๆๆๆ 


ที่สำคัญ ท่านคิดยังไง?ค่ะ

เราควรทำอะไร ในสถานการณ์หลังเพื่อไทยเป็นรัฐบาล? ตอนที่ 1

ข้อปรึกษาหารือเบื้องต้น
เรื่อง เราควรทำอะไร ในสถานการณ์หลังเพื่อไทยเป็นรัฐบาล?
ตอนที่ 1 : มุ่งโจมตี 4 เงื่อนไขที่ค้ำยันอำนาจฝ่ายขวา
(อันนี้คิดและเขียนแบบไวนะคะ)


Intro
หลังที่เพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และกิจกรรมเสื้อแดงแบบเวทีใหญ่ที่ต้องระดมกำลังขนาดใหญ่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์นั้น ปรากฏว่า เราเองก็ได้ช่วยกันคิดแนวทางภารกิจในระยะต่อไปกันบ้างแล้ว คือ 1) สนับสนุนและร่วมต่อสู้เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าสมบูรณ์,               2)ภารกิจการขยายการจัดตั้งองค์กร/ขบวนมวลชน, 3)อีกทั้งภารกิจในการป้องกันการพลิกฟื้นอำนาจของฝ่ายเผด็จการอำมาตย์ที่มีทุนซากเดนศักดินาอยู่เบื้องหลัง(ต่อไปจะเรียกมันว่า “ฝ่ายขวา”)         แต่นั่นก็ยังคงเป็นแนวทางระยะยาว ,  ยังไม่ได้ลงวิธีการรูปธรรม. ในขณะที่ปัจจุบัน ฝ่ายขวาได้ใช้วิธีการรบแบบโจมตีเพื่อทำลายความชอบธรรมชนิดรายวัน ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า     เราอาจต้องใส่ใจทั้งภารกิจระยะยาวและภารกิจระยะสั้นที่มีความสำคัญ ไม่แพ้งานระยะยาวด้วยเช่นกัน – แต่ในตอนที่ 1 นี้ จะขอปรึกษาเรื่องภารกิจระยะยาวก่อน

ทบทวน :
เผด็จการอำมาตย์, ทุนซากเดนศักดินา และ CIA คือ อุปสรรคตัวหลักต่อควาก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ      และประชาธิปไตยของสังคมไทย. ดังนั้น เป้าหมายของฝ่าย ปชต.จึงต้องมุ่งจัดการอุปสรรค/ศัตรูของ ปชต.ไทย เหล่านี้ให้ได้(และแน่นอนว่า ไม่ใช่ด้วยวิธีการฆ่าคน เพราะไม่มีปัญญาฆ่า ฆ่ายังไงก็ไม่หมด ถ้าอุดมการณ์ของพวกมันยังคงได้รับการยอมรับจากมวลชนอยู่) ประเด็นคือ จะจัดการพวกมันอย่างไร?
ก็ต้องชัดไปที่ ปัจจัยเงื่อนไขที่ค้ำยันอิทธิพลของมัน


เงื่อนไขสำคัญ 4 ประการ ที่ทำให้อำนาจของฝ่ายขวายังคงมีอิทธิพลครอบงำสังคมไทยอยู่ ได้แก่อะไรบ้าง
     1)    รธน.+กฎหมาย/กติกาเหลือง(ที่ไม่เป็น ปชต.)
2)    อุดมการณ์+วาทกรรมเหลือง : ที่ผ่านพิธีกรรม+วัฒนธรรม+หลักสูตรการศึกษา+ศิลปวัฒนธรรม     +วรรณกรรม+ข่าวสาร+งานพัฒนาชุมชน 
3)    กลไก+เสบียงเหลือง เช่น บริวารขุนศึก/ขุนนาง+พรรค ปชป.+ศาล +ขุนนางวิชาการ+สื่อ           +องค์กรอิสระ+ขบวนประชาสังคม/NGOsเหลือง ,สภาพัฒนาการเมือง,พอช.,สสส., etc .
4)    โครงสร้าง/ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์-แต่แตกกระจาย ดังจะขยายความดังต่อไปนี้

เงื่อนไขตัวที่ 1 : รธน.50 และ กฎหมายที่ไม่เป็น ปชต.
เพราะ รธน.จะเป็นตัวกำหนดว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริหรือไม่, อำนาจทั้ง 3 ฝ่าย(นิติบัญญัติ – บริหาร – ตุลาการ)มาจากประชาชนและถูกควบคุมโดยประชาชนอย่างไร, มีอำนาจที่เหนือกว่าอำนาจของประชาชนอีกหรือไม่. คนที่จะมาใช้อำนาจทั้ง 3 ฝ่าย จะมาจากวิธีการใด, ใช้อำนาจได้แค่ไหน, จะถ่วงดุล/ตรวจสอบกันอย่างไร. นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอีกหลายตัวที่ค้ำยันอำนาจของฝ่ายขวาเอาไว้    เช่น ม.112,พรบ.ทรัพย์สิน เป็นต้น  ซึ่งต้องศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์       ทำข้อเสนอและผลักดัน  การแก้ไข โดยอีกด้านก็ต้องประสานกับเพื่อไทยเพื่อดำเนินการในสภาด้วย.

เงื่อนไขตัวที่ 2 : อุดมการณ์และวาทกรรมเหลือง
พวกฝ่ายขวาได้ผลิตซ้ำอุดมการณ์ของตนเองมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานมากๆ โดยทำการผลิตซ้ำ      ในพื้นที่มิติทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและศาสนา ทั้งนี้โดยผ่านกิจกรรม พิธีกรรม วัฒนธรรม+หลักสูตรการศึกษา+ศิลปวัฒนธรรม+วรรณกรรม+ข่าวสาร+งานพัฒนาชุมชน. ตัวอย่างอุดมการณ์และวาทกรรมเหลือง ได้แก่ ธรรมราชา,ประชาธิปไตยแบบไทยๆ,             ข้าราชการของพระราชา, ปชต.ไม่จำเป็นต้องเลือกตั้ง, ปชต.ทางตรง, ประชาสังคมแบบไทยๆ,        พระราชอำนาจ-ม.7,เศรษฐกิจเจียมตัว และพิธีกรรมต่างๆที่กดทับหลักการเสรีภาพและเสมอภาค.    ฝ่าย ปชต.ต้องเปิดโปง ขำแหละ กระชากหน้ากากอุดมการณ์และวาทกรรมของพวกมัน และเร่งผลิต เชิดชูอุดมการณ์และวาทกรรมของฝ่าย ปชต. โดยชิงให้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ความเข้าใจต่อมวลชน และโดยผ่านพิธีกรรมของประชาชนที่สร้างขึ้นใหม่ อย่างตีคู่ ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ทุกพื้นที่ ทุกโอกาส เช่นเดียวกับที่พวกมันทำ ให้ได้

เงื่อนไขตัวที่ 3 : กลไกและทุนเสบียงเหลือง
นอกจากการมุ่งโจมตีไปที่อุดมการณ์และวาทกรรมของพวกมันแล้ว  เราจำเป็ต้องจัดการกลไกและเสบียงของพวกมันด้วย. พวกฝ่ายขวาได้อาศัยกลไกต่างๆและวางคนของตัวเองเข้าไปยึดกุมได้เกือบทั้งหมด พร้อมๆกับใช้ทรัพยากรอย่างมหาศาลของกลไกเหล่านั้น(เงิน คน อุปกรณ์) เพื่อทำงานเป็นแขนขาให้พวกมัน ทั้งที่เป็นกลไกการปราบปรามและกลไกที่ทำงานด้านอุดมการณ์  ทั้งๆที่กลไกและทรัพยากรเหล่านี้      เกือบทั้งหมดต้องเป็นของประชาชนและต้องทำหน้าที่รับใช้ปกป้องระบบและอุดมการณ์แบบปชต.  หากฝ่าย ปชต.สามารถเข้าจัดการเปิดโปง ทำลายความชอบธรรม สลายพลังเหลือง            หรือปรับเปลี่ยนและยึดกุม หรือสามารถดึงกลับมาเป็นแดงได้ ก็จะทำให้พลังของพวกมันให้อ่อนแอลงได้อย่างมาก     พร้อมๆกับการทำให้กลไกเหล่านั้นหันกลับมารับใช้ ปชต.ต่อไป.  กลไกและทุนเสบียงดังกล่าว ได้แก่ ทหาร, ศาล, สำนักทรัพย์สิน, องคมนตรี, สว.,องค์กรอิสระทั้งหมด, สสส., พอช.,      สภาพัฒนาการเมือง,         สถาบันพระปกเกล้า,ราษฎรอาวุโส, ข้าราชการทุกกระทรวง, นักวิชาการ, สื่อมวลชน, พรรคการเมือง,ศิลปิน, NGO ,กลุ่มพันธมิตรอันธพาลทางการเมือง, พวกสลิ่ม,               กลุ่มทุนเหลือง ฯลฯ

เงื่อนไขตัวที่ 4 : โครงสร้าง/ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์-แต่แตกระจาย 
ถึงแม้ว่า ประเด็นนี้อาจจะยังไม่ใช่ประเด็นเร่งด่วนในจังหวะนี้ก็ตาม(เนื่องจากภารกิจสำคัญอยู่ที่      สร้าง ปชต.ระดับโครงสร้างรวมก่อน) – แต่เราก็อาจต้องเตรียมศึกษา เตรียมข้อเสนอและเตรียมความเข้าใจต่อมวลชนเอาไว้ด้วย เพราะเงื่อนไขตัวนี้ เป็นทั้งอุปสรรคและเป็นทั้งตัวเอื้อที่สำคัญต่อการเรียนรู้ทางการเมืองของมวลชน ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากผ่านการเรียนรู้การปกครองตนเองระดับตำบล  ในช่วงระยะเวลาไม่นาน มวลชนสามารถเรียนรู้การเมืองการปกครองได้อย่างรวดเร็วและเป็นฐานความเข้าใจเบื้องต้น ที่ถูกยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อประสานเข้ากับการต่อสู้ ปชต.ในระดับชาติ –    แน่นอนว่า ต้องเปิดโปงขบวนการของฝ่ายขวาที่ชื่อ “ขบวนจังหวัดจัดการตนเอง” ที่แอบอ้างแบบเนียนเข้ามาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ เพราะหลังพฤษภา35 เราชูเรื่องกระจายอำนาจเลือกตั้งผู้ว่า พวกนี้แหละที่ออกมาคัดค้าน พอทักษิณฯทำผู้ว่า CEO เพื่อแก้ปัญหาเรื่องระบบราชการที่แตกกระจาย                 พวกมันก็ต่อต้านหาว่าเป็นระบบเผด็จการ แล้วต่อมาพวกมันก็ช่วยกันล้มรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้ง       ชูพระราชอำนาจ ม.7  เรียกร้องและสนับสนุนการรัฐประหารเมื่อปี49 เข้าไปเป็น สสร. เป็นกรรมการ   เข้าไปทำงานให้ เผด็จการ - มาบัดนี้ เรากำลังสู้กับเผด็จการ พวกมันกลับออกมาเคลื่อนเรื่องสมัชชาปฏิรูปและกระจายอำนาจ โดยการป่าวประกาศว่า “อย่าไปเข้าร่วมกับการต่อสู้การเมืองระดับชาติเลย เป็นการต่อสู้ของชนชั้นนำ ชาวบ้านถูกหลอกใช้ เรามาจัดการตนเองที่จังหวัดดีกว่า” – จนพี่น้องเสื้อแดงบางส่วนตามไม่ทันเผลอเข้าไปร่วมขบวนกับพวกมัน

ดังนั้น ภารกิจของฝ่ายประชาธิปไตย คือ ต้องระดมสรรพกำลังมุ่งเข้าจัดการเงื่อนไขทั้ง 4 ประการ    เหล่านี้ ให้ได้

ประเด็นต่อมาคือ จะจัดการเงื่อนไขทั้ง 4 ตัวนี้ยังไง? คือ มันต้องทำเป็นแผนงาน เป็นระบบ มันต้องมีทั้งงานข้อมูล งานผลิตคู่มือ-สื่อเผยแพร่ และงานจัดตั้ง-เคลื่อนไหว  ต้องมีการแบ่งงานกันทำ 
และที่สำคัญ คือ คิดยังไงคะ อยากฟังความเห็นค่ะ