สำนัก

โดย
สำนักการกระจายอำนาจและปกครองตนเอง(กอ-ปอ)
Decentralization & Local Autonomy Agency(DLA)

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

องค์กรพัฒนาเอกชนไทยไม่ได้หลงผิดที่เป็นเหลือง แต่เป็นเหลืองโดยกำเนิด

โดย หม่อมแม่


  1. อุดมการณ์ คือ ชุดแนวคิดที่ใช้อธิบาย “ปรากฏการณ์ทางสังคม” หนึ่งๆว่า มันเกิดขึ้นได้เพราะปัจจัยเงื่อนไขอะไร พร้อมกันนั้นก็บอกทางออกของปัญหานั้นๆไปในตัว เช่น  อุดมการณ์เศรษฐกิจเจียมตัว : ก็จะอธิบายว่า "ที่ชาวบ้าน/ชนบท-บ้านนอก/ภูธร ทั้งพวกกรรมกร พวกสลัม พวกกินเดือนขั้นต่ำ พวกขึ้นรถเมล์ รถไฟ รถทัวร์ที่ไม่มีปัญญาขึ้นเครื่องบินทั้งหลายเนี่ยะ  ที่ยากจนลำบากทุกวันเนี่ย ไม่เกี่ยวกับระบบกติกาทางเศรษฐกิจ ไม่เกี่ยวกับระบบกติกาทางการเมืองเลย แต่สาเหตุมันมาจาก “ตัวคนจน” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จนก็เพราะไม่รู้จักพอเพียง ฟุ่มเฟือย หลงติดในวัตถุ ไม่เจียมตัว ไม่รู้ว่าตัวเองจน จึงต้องจนไง  ดังนั้น     อยากหายจน ก็ต้อง เจียมตัว กินน้อย ใช้น้อย งานศพงานบุญก็ไม่ให้เลี้ยงเหล้าไง อย่าตีตนเสมอ" ไง
  1. การเมืองค้ำยันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ : เพื่อปกปักษ์รักษาดำรงไว้ซึ่ง “โครงสร้าง/ระบบ-กติกาทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคมแบบเดิมที่กลุ่มเผด็จการขุนนางอำมาตย์ได้เปรียบ” กลุ่มกากเดนเหล่านี้จึงยอมไม่ได้ที่จะให้ใครก็ตามที่อยู่นอกกลุ่ม-โดยเฉพาะไพร่ทาส-          มาตีตนเสมอหรือเข้ามาปรับเปลี่ยน “กติกา” จนพวกมันเสียประโยชน์  - พวกกากเดนเผด็จการศักดินาห่าลากเหล่านี้จึงไม่ยอมให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงซักที มันต้องการให้ประชาชนและพรรคการเมืองเข้าแถวยืนตรงเชื่อฟังและยินยอมให้มีอำนาจการเมืองเท่าที่พวกมันอนุญาต - พวกมันจึงต้องจัดการทำลายล้าง “ศัตรูทางการเมือง”(ที่บังอาจสั่นคลอนอำนาจของพวกมัน)ให้ตายกันไปข้าง-มาโดยตลอดไง(อันนี้ไปศึกษาเพิ่มเติมจากประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเมืองของทั้งโลกและของไทยได้เลยค่ะ)

  1. กุมอุดมการณ์-กุมมวลชน : แต่พวกกากเดนศักดินา กากเดนเผด็จการ และเหล่าลิ่วล้อขุนนางทั้งหลาย มันเรียนรู้ว่า จะใช้แต่อำนาจการปราบปรามอย่างเดียวไม่ได้(เช่น ตำรวจ ทหาร คุก ศาล นักเลงอันธพาล) ไม่งั้นมวลชนผู้เสียเปรียบจะทนไม่ได้และพากันลุกฮือมาตัดคอพวกมัน – พวกมันจึงต้องใช้วิธีทำให้มวลชนสยบ ยอมรับ เชื่อฟังศรัทธา กล่าวโทษตัวเองและจัดการตัวเอง ด้วยกระบวนการครอบงำ/ครองการนำทางอุดมการณ์ไงคะ

  1. อพช. เกิดขึ้นมาเพื่ออะไร : ทีนี้พวก อพช. จากที่เลื้อยคลานจนวิวัฒนาการมายืนตรง   ด้วย 2 ขาได้  ซ่อนเขี้ยว หางผลุบ    ขนหดสั้นลง แอบใส่กางเกงในสีเหลือง ห่มร่างด้วย     “เสื้อคลุมนักพัฒนา” จนกลายเป็น ขบวน กป.อพช. , พอช. สสส.  สภาพัฒนาการเมือง ทุกวันนี้    มันเป็นใคร ก่อตัวคลอดหลุดออกมาจากมดลูกอะไร? พวกมันทำงานทางอุดมการณ์อย่างไร? สำเร็จหรือล้มเหลว? แล้วมันกลับเลื้อยมุดเข้าไปรูมดลูกเดิมด้วยเหตุอันใด?  จะแถลงไขให้ ควัง ดังนี้นะคะ
  2. เวลาตกฟากของ อพช. : พวก อพช.มันเติบใหญ่ขยายโต๋ขึ้นในช่วงยุคสงครามเย็นและยุคแผนพัฒนาฯ ที่พวกกลุ่มพลังอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวาของอเมริกาหนุนหลัง ให้การสนับสนุนเพื่อสู้กับอิทธิพลของพลังฝ่ายซ้ายสังคมนิยมจีน-รัสเซียในเขตประเทศด้อยพัฒนาไงคะ คุณขา 

  1. พวกที่หนึ่ง) คลอดจากมดลูกสายสะดือของมูลนิธิพัฒนาชนบท ตั้งท้องกันแถว จ.ชัยนาท-    ไปฝึกงานกันแถวฟิลิปปินส์บ้าง เฮกบ้าง อเมริกาบ้าง ต่อมาแตกลูกหลานเป็นบัณฑิตอาสา-มธ. และ คอส.-ม.จุฬา ; สายนี้บ้าแต่เรื่อง “การพัฒนา” โดยอเมริกาหนุนการก่อตั้ง “สถาบันนิด้า” เพื่ออบรมสั่งสอน “ทฤษฎีพัฒนา”ไง พวกสายมักเรียนก็ไปเรียนกันเป็นตุเป็นตะ จบมาเป็นอาจารย์สอนกันตามภาควิชาพัฒนาสังคม/พัฒนาชุมชน/สังคมสงเคราะห์ ตามมหาลัยต่างๆ            หลอกสอนพวก อพช.หน้าโง่ต่อๆกันเป็นทอดๆว่า ความยากจนและปัญหาสังคมเกิดจาก “ปัญหาการพัฒนา” ไง  แล้วก็หลอกให้แม่งสาระวนอยู่กับแต่เรื่อง  แผนพัฒนาฯ ,ทิศทางการพัฒนาฯ, เป้าหมายการพัฒนา, กลไกการพัฒนา, กระบวนการพัฒนา -  จนพวก อพช. มึนตึ๊บ   นักวิชาการของสายนี้พูดถุยน้ำลายแต่ทฤษฎีเรื่อง การพัฒนาแบบต่อต้าน       ความทันสมัย,  การพัฒนาผสมผสาน, การพัฒนาแบบยั่งยืน,      การพัฒนาแบบพึ่งตนเอง   (เอาของลาตินเขามาแล้วบิดเบือนไม่พูดถึงการจัดการทางการเมือง..ทุด) การพัฒนาทางเลือก –ไอ้พวก อพช.  สายปฎิบัติแม่งก็เลยถูกหลอกให้ไม่คิดและพูดถึงปัญหาโครงสร้างและระบบการเมืองการปกครอง-มันก็เลยได้แต่ท่องจำและพูดตามๆกัน “ผสมผสาน-ยั่งยืน-พึ่งตนๆๆๆๆๆๆๆๆ”  , “บนลงล่าง     ล่างขึ้นบนๆๆๆๆๆๆๆๆ”   เชี่ยเอ้ย ทั้งๆที่ “การพัฒนา”  เป็นเพียงแค่กิจกรรมฉากหน้าของรัฐบาลกากเดนเผด็จการศักดินาลูกสมุนทุนจักรวรรดิที่ต้องการรุกเข้าไปในพื้นที่ที่ “เสี่ยงต่อความเป็นแดง”  แล้วก็ไอ้ทฤษฎีแนวคิดการพัฒนาห่าเหวที่พวกมันสาระวนทั้งหมดนั่น ก็มาจาก UN ,IMF, World Bank ทั้งนั้น …..ทีนี้ เข้าใจหรือยังคะ บุเงขา ว่าทำไม พวก อพช. มันจึงเรียกตัวเองว่า “นักพัฒนา” (ต่อมาพวกมันก็เรียกตัวเองว่า NGO เพื่อให้ดูเท่ห์เป็นฝรั่งไงสาดๆๆ)  แล้วเวลา อพช. มันเขียนบทความหรือข้อเสนอโครงการ ทำไมมันจึงต้องขึ้นต้น paragraph แรกด้วยประโยควรคทองว่า       "ตั้งแต่แผนพัฒนาฉบับที่ 1"  ทุกครั้ง(เชี่ย...แม่ง พวกมันยังเถียงกันไม่จบเลยว่า เริ่ม พ.ศ.2503 หรือ 2504บักปึกแบบบูรณาการเอ้ย)  ....มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกแม่งดีอกดีใจกันพากันไปสัมมนาที่พัทยา ว่า “รัฐเขาเปลี่ยนแล้ว เขาให้เราเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผน 8 แผน 9 แล้ว”(โอ้ย บักปึ๊ก...พวกข้าราชการมันนั่งเขียนแผนงบประมาณประจำปี-ข้ามปี อยู่กรุงเทพ ผี๊) -อันนี้แถมให้เอ้า : หลอกแดกแบบยั่งยืนไง, เอากันแบบผสมผสานไง

  1. พวกที่สอง) คลอดมาจากสภาคาทอลิคเชื้อสายสำนักวาติกัน : สายนี้เป็นมารดาของ “แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน” ที่แม่งสั่งสอนกันมาว่า "ที่ชาวบ้าน/ชาวนายากจน นั่นเพราะหลงลืมวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง เรียนหนังสือสูงแล้วหนีเข้ากรุงไม่ยอมกลับช่วยพ่อแม่ทำนาที่บ้าน  ความรู้ที่เรียนๆกันเป็นของตะวันตกไม่เหมาะสำหรับคนไทย ตะวันออกสิสุดยอดเพราะเสือกไปทำการผลิตเพื่อขายนี่แหละถึงได้ยากจน แต่ก่อนไม่เห็นเขาใช้เงินกัน  เขายังอยู่กันได้ เงินเป็นปีศาจ เป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง" นั่นว่าของมันไปนั่น "ชุมชนมีจิตวิญญาณ(ญาณพ่อญาณแม่ง) ดังนั้นจะหายจน ต้องรื้อฟื้นวัฒนธรรมดั้งเดิม ภูมิปัญญาดั้งเดิม   กินในสิ่งที่ปลูก ปลูกในสิ่งที่กิน อย่าผลิตเพื่อขาย" - พวกนี้มาผสมพันธ์กับบิดาวัฒนธรรมชุมชนแห่งสำนักฉัตรทิพย์ เศรษฐศาสตร์การเมืองจุฬาไง พี่แกเพี้ยนบิดเบี้ยวทั้งข้อมูลเชิงประจักษ์   ทั้งวิธีคิด ทั้งทฤษฎี จนถูก Marxist ระดับแนวหน้าแห่งสำนัก มช. วิพากษ์ซะเละจนหนีไปผูกคอตายแถวๆไทยอาหม – ทั้งบิดาทั้งมารดา ทั้งบุตรกุลธิดา ดันไปอ้างเอาความคิดของไอ้นักวิชาการสาย Anti-Marxism อย่างไอ้  James C. Scott ที่แม่งหลอกว่า “ชุมชนชาวนา”    มีระบบเศรษฐกิจเป็นของตนเองที่เรียกว่า “ระบบเศรษฐกิจชาวนา” เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีศีลธรรม มีระบบการแบ่งปันมูลค่าส่วนเกินภายในชุมชน เพื่อรักษาสมดุลของจิตวิญญาณชุมชนเอาไว้ ชาวนาเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ต่อต้านรัฐและทุนอยู่ในสายเลือดที่สืบทอดมาแต่โบราณแล้ว เพียงแต่ว่าชาวนาเขาไม่แสดงออกแบบลุกฮือ แต่ชาวนาแสดงออกแบบที่มันเรียกว่า    “อาวุธของผู้อ่อนแอ” เช่น การนินทา การอู้งาน การขโมยเมล็ดข้าว เป็นต้น ดังนั้น พวกนักจัดตั้งฝ่ายซ้ายทั้งหลายจงเคารพชุมชนและอย่าได้ลงไปยัดเยียดอุดมการณ์อะไรให้ชาวนาอีก " –  ยังไม่พอ   พวกนักวิชาการ และ อพช. ขี้กลาก ที่อยากดังก็เอามาเขียนหนังสือเป็นตุเป็นตะ      ที่จำได้ก็มี    เสรี พงศ์พิศ, บำรุง บุญปัญญา, อภิชาติ ขำเดช เอ้ย ! ทองอยู่ ....แล้ว พวกเชี่ยนี่ ก็พากันไปสร้างปาดสร้างเขียด พ่อโน่นพ่อนี่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดเลยไง(โอว..แม่ง แต่ละตัว .บ้างก็เคราดก บ้างก็เคราหรอมแหรม อุบาทว์ค่ะ) …….เหี้ยยิ่งกว่านั้น คือ พวกที่โง่แล้วเสือกขยัน พยายามเขียนหนังสือเสนอ “ประชาธิปไตยชุมชนดั้งเดิม” มันบอกว่า "มีเลือกตั้งทีไร ชุมชนแตกกันทุกที ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเป็นของตะวันตก ไม่เหมาะสำหรับคนไทย     ดังนั้น ต้องรื้อฟื้นเอา วัฒนธรรมและระบบการเมืองแบบดั้งเดิม คือ ใช้ระบบสรรหาผู้นำชุมชนที่มีคุณธรรม จริยธรรมไง"(ดูมันสิ-ก็ยังสงสัยอยู่ว่าหากมีข้อโต้แย้ง ใครจะตัดสินใจวะ แล้วไอ้ผู้นำที่ว่ามีคุณธรรม ใครเป็นคนตัดสินวะ สาดๆ-เอ่อ อันนี้ต้องไปถามคุณชัชวาลกับทีมงาน วจส. เอาเองค่ะ) .......ทีนี้ หายสงสัยหรือยังคะ คุณบุเงขา ว่าทำไมพวกเด็กนักศึกษาค่ายอาสาสมัย 26 – 34 มันจึงพยายามดั้นด้นค้นหาหมู่บ้านที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่กินมาม่า พอเจอแล้วถึงกับน้ำตาไหลพรากๆ(ดีใจเจอหมู่บ้านโคตรพ่อโคตรแม่กันดาร ไม่มีไฟฟ้า แต่ดันเจอซองมาม่า     ตกอยู่ใต้แคร่หน้าบ้านชาวบ้าน..ฮา)......แล้วรู้รึยังทำไม พวก อพช.มันจึงไม่ชอบการเลือกตั้ง(วัฒนธรรมองค์กรพวกมันเองก็ไม่นิยมการเลือกตั้ง-ไม่มีแข่งขันนโยบาย-ไม่ให้สมาชิกตัดสินใจ) ลูกหลานเด็กๆ อพช. มันถูกออกแบบให้อ่านหนังสืออะไรบ้างรู้มั้ย? จิ่วแต่แจ๋วของชูเมกเกอร์ไง คานธีค่ะ ประเวศวะสีค่ะ ธีรยุทธค่ะ  ปาจรยสารค่ะ  หนังสือของสังคมพัฒนาของสภาคาทอลิคค่ะ ล่าสุด พวก พอช.เพิ่งไป Copy เอางาน วัฒนธรรมชุมชน ของ ฉัตรทิพย์ มาให้เจ้าหน้าที่ตัวเองอ่านไงคะ ดีนะที่มันยังไม่ให้อ่านงานของ อากังฟู

  1. พวกที่สาม) UN CIA  โดยตรง แรกๆพวกเหี้ยกลุ่มนี้เริ่มทำงานสังคมสงเคราะห์    ตามตะเข็บชายแดน และทำงานข่าวกรองไปในตัวด้วย อย่าง “NGO กู้ระเบิด” – เคยได้ยินมั้ยคะ (เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละค่ะ)  และอย่าง Asia Foundation ที่ ส.ศวิลึงค์ สนิทแนบแน่นใช้บริการมาตลอดไงค่ะ– ต่อมาพวกนี้ก็แตกหน่อมาเป็นนี่ไง NGOช้าง  NGOม้า  NGOหมา NGOปลาพยูน  NGOกระเทย  NGOเด็กปากกึก  NGOขยะ NGOพม่า NGOยาเสพติด  ฯลฯ ภายใต้ข้ออ้าง “สิทธิมนุษยชน” , “ไม่ทำลายธรรมชาติ” (ตามที่ประเทศมหาอำนาจนิยามและเลือกใช้) พวกนี้ อธิบายปัญหาความยากจนและปัญหาสังคมว่า  "เกิดมาจากทั้งรัฐและชุมชนในประเทศด้อยพัฒนาไม่รู้จักสิทธิ ทั้งไม่มีความรู้ทางนิเวศน์  - โดยจงใจหลีกเลี่ยงละเลยที่จะอธิบายเชื่อมโยงเข้ากับปัญหาระบบการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย+ระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม"  พวกมันก็ทำงานเชิงประเด็นๆไป ในขณะเดียวกันก็ถูกหลอกให้วิจัย ให้หาข่าวต่างๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและการเมืองของประเทศทุนจักรวรรดิไปด้วย ตัวอย่างนี่เลยค่ะ USAID UNICEF UN-เหี้ยต่างๆ มูลนิธิFORD มูลนิธิร็อคขี้เฟลเลอร์  มูลนิธิTOYOTA ; etc.     ทั้งนี้ แม่งได้รับการอนุญาต สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดีจากชนชั้นนำกากเดนเผด็จการอำมาตย์ศักดินาของประเทศไทยด้อยพัฒนา เช่น เงิน LDAP และนโยบาย กรอ.สมัยอีขันทีเปรม ที่พวกมันเอามาตั้ง กป.อพช., LDI, TDRI ไง ,แล้วที่นี้ เข้าใจหรือยังว่า  ทำไมกรณีไอ้ยุทธยายเที่ยง      กรณีอีเปรมสอยดาว และอีกมากมายที่อำมาตย์บุกรุกป่าสงวน - พวก อพช.เหี้ยพวกนี้ถึงแกล้งเอาหัวมุดกางเกงในเหลืองกันไปหมดไง

  1. เหล่าโอรสเหลือง 3 ฝูง แปลงร่างเข้ายุทธภพ : อพช. ทั้ง 3 พวกข้างต้น จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม พวกมันได้รับการหล่อหลอมและปลูกฝังอุดมการณ์  วิธีการทำงานที่ดูเหมือนจะยืนอยู่ข้างประชาชนผู้ยากไร้  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  สิ่งที่พวกมันทำล้วนแต่เป็นการมอมเมามึนชากดทับความคิดประชาชนทั้งนั้น แล้วบิดเบือนให้ประชาชน “กล่าวโทษแต่ตนเอง” และ “จัดการตัวเอง” แต่เพียงด้านเดียว – ด้วยวิธีการเอาอุดมการณ์ที่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางชนชั้น(เช่น พึ่งตนเอง-พอเพียง)มาผสมพันธุ์กับอุดมการณ์ที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางชนชั้น(เช่น ยากจน) ออกมาเป็น “ยากจนเพราะไม่รู้จักพอเพียง”  เพื่อทำให้มวลชนสับสน พร้อมๆกับสร้าง “วาทกรรม”เหี้ยๆเช่นเรื่อง นักเลือกตั้งที่ชั่วร้าย เงินคือปีศาจ คุณธรรมของผู้นำสรรหา ระบอบทักษิณขายชาติ ทหารของXXX รัฐประหารเพื่อประชาธิปไตย และประชาธิปไตยแบบชุมชนดั้งเดิม....ดังนั้น สิ่งที่ อพช.ทำมาทั้งหมด คือ การปกปิดอำพรางซ่อนเร้นความระยำทำนาบนหลังคนของชนชั้นที่ได้เปรียบ พร้อมๆกับการปกป้องโครงสร้างระบบกติกาทางเศรษฐกิจการเมืองแบบเดิมที่เป็นประโยชน์ต่อชนชั้นกลุ่มอำนาจเก่า พวกกากเดนเผด็จการศักดินาอำมาตย์ฆาตกรล้าหลังคลั่งชาติ ทั้งสิ้นทั้งปวงไงละค่ะ

  1. ฝนตกขี้หมูลไหล พา "สโหย" มาหา :  หลังป่าแตก พวก พคท.ชั้นสวะก็เข้ามาอยู่ใน อพช. พร้อมกับพกพา อุดมการณ์และทฤษฎีมั่วๆสายวินัย เพิ่มพูนทรัพย์ มาด้วยไงค่ะ ประเภทกลางวันเป็นมาร์กซิสต์(อูย) พอกลางคืนเป็นฟรอยเดี้ยน(อูย)ไงค่ะ  พวก พคท.ชั้นสวะพวกนี้เป็นประเภทเดียวกันกับพวกที่แค่เดินผ่านแวะไปซื้อส้มตำที่สนามหลวงก็ประกาศตัวเองว่าเป็นคนตุลาแล้วนั่นแหละ ขบวน อพช.จึงเหี้ยหนักเข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากจะบอกว่า "ชาวบ้านยากจนเพราะไม่รู้จักพอเพียง, เพราะปัญหาการพัฒนา ,และเพราะไม่มีความรู้เรื่องสิทธิ/ระบบนิเวศน์" แบบพวก 3 โอรสเหลืองบอกแล้ว อีนี่เสริมเข้าไปอีกว่า “เพราะใช้ระบบประชาธิปไตยของนายทุนนั่นแหละ เลือกตั้งเป็นสิ่งชั่วร้ายได้แต่นักุธุรกิจการเมือง ดังนั้นต้องสามัคคีเผด็จการทหาร สวามิภักดิ์ศักดินา โค่นล้มทุนสามานย์ สร้างสังคมนิยมอันมีพระมหา...ทรงเป็นประมุข ” โอ....พระเจ้ายอด มันจอร์จจังค่ะ

  1. เสกคาถา พ่นน้ำมนต์ แล้วย่องแดกไก่ชาวบ้าน : ด้วยเหตุดังนั้น อพช.จึงไม่ได้ "ลดทอนความเป็นการเมืองในงานพัฒนา" ตามที่คุณเล็ก  อภิเดชตั้งข้อสังเกตไว้ แต่มันเป็น "กลไก" ที่ทำหน้าที่ทางการเมืองอย่างเข้มข้นแบบเนียนตัวแม่เลยแหล่ะ ด้วยวิธีการผลิตซ้ำอุดมการณ์ทางการเมืองแบบ "อำนาจนิยม-ราชาธิปไตย" และ "อนาธิปไตย" มาโดยตลอด   และ "การลดทอนมิติการเมืองนี้ยังเป็นการลดทอนที่มีเจตจำนงปิดบังซ่อนเร้น-โดยเฉพาะระดับตัวพ่อผู้ผลิตอุดมการณ์เหล่านี้-พูดให้ง่ายคือ อพช.เป็นตัวทำงานผลิตซ้ำอุดมการณ์ทางการเมืองที่ขัดขวางระบบประชาธิปไตยโดยผ่านกิจกรรม "งานพัฒนา"มาโดยตลอด หมายความว่า   มันไม่ได้ลดทอนฯ ใดๆเลย ตรงข้าม มันกลับทำงานการเมืองที่กดทับประชาชนมาโดยตลอดต่างหากเพค่ะ

  1. ประชาสังคมผิดเพี้ยน : อาจมีคำถามว่าแล้ว อพช.สายม็อบหล่ะเขาไม่ได้สร้างประชาธิปไตยรึ? (ประชาธิปไตยทางตรง - ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ-ตามแนวคิด New Social Movement) คำตอบก็คือ ต้องดูที่เป้าหมายทางการเมืองของการต่อสู้ค่ะ ไม่ใช่ดูแค่ว่า ม๊อบหรือไม่ม๊อบ      กิจกรรมม็อบของ อพช.กลุ่มนี้ ไม่ได้มีนัยยะของโครงการทางการเมือง(ชุดกิจกรรมที่มีเจตจำนงพัฒนาทางการเมืองที่แน่ชัด) กิจกรรมม็อบของพวกเขาเป็นเพียงการพามวลชนไปต่อรองผลประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นครั้งๆ / แล้วก็พร่ำบ่นถึง “ความไม่จริงใจของรัฐ” และ “ความเลวของนักการเมือง” พวกเขามักนิยมเสนอ “ร่าง พรบ....ฉบับประชาชน”  แล้วก็อวดอ้างว่านั่นคือ การแก้ระดับโครงสร้าง(คนเหล่านี้มักจะไม่พูดให้ชัดว่า โครงสร้างอะไร?  )ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมสร้างการเรียนรู้หรือนำพามวลชนเข้าไปจัดการ “โครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองที่มีปัญหา” ที่เป็นต้นตอของการได้มาซึ่ง “กติกา/พรบ.”ที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลาย  ที่ร้ายกว่านั้น อพช.บางพวกทำตัวอย่างน่าเกลียดโดยการใช้ “ม๊อบ” เป็นเครื่องมือต่อรอง “อัพเกรด-เพิ่มราคาให้ตัวเอง” เพื่อเป็นบันไดสู่ “ตำแหน่งกรรมการ” และ “กรรโชกทรัพย์จากรัฐ”  พร้อมๆกับการอ้างฐานมวลชนเข้าไปสวามิภักดิ์ต่อชนชั้นนำซากเดนศักดินา - ไม่ต่างจากบางกลุ่มในสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจไทยใดๆเลย หรือหากมีเจตจำนงทางการเมืองก็มาจากความคิดผิดๆที่ว่า การเมืองระบบตัวแทนใช้ไม่ได้แล้ว ต้องสร้างประชาธิปไตยทางตรงเท่านั้น พวกมันก็เลยไม่สนใจที่จะพัฒนา "โครงสร้างและระบบการเมืองประชาธิปไตยแบบสากล"-    แถมยังโจมตีทำลายความน่าเชื่อถือของระบบเลือกตั้งอีกด้วย จนบ้าเสียสติคิดว่าการเรียกร้องให้เผด็จการทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่ตัวเองไม่ชอบก็คือประชาธิปไตยทางตรงเสียแล้ว- แท้จริงแล้ว ขบวน อพช.กลุ่มนี้ ก็คือ ขบวนลัทธิอนาธิปไตย นั่นเอง – และที่สำคัญ เราต้องก้าวข้าม “มายาคติ” ที่ตีความแบบอัตโนมัติว่า “ม็อบ" คือ การพัฒนาประชาธิปไตย(ไม่ว่าจะระดับวัฒนธรรมหรือระดับโครงสร้างก็ตาม) เพราะไม่งั้น เราจะอธิบายขบวนพันธมวยหัวคิดไม่ได้ค่ะ เพราะ พธม.มุ่งทำลายระบอบประชาธิปไตย และสนับสนุนระบอบเผด็จการอำมาตย์ซากเดนศักดินาอย่างชัดเจน

  1. เงื่อนไข 4 อย่างที่ทำให้หางเหลืองโผล่ : แล้วทีนี้ พอจะเห็นร่องรอยลางๆบ้างหรือยังว่า ทำไม  อพช. มันจึงไปร่วมขบวนกับกลุ่มอันธพาลทางการเมืองอย่างเช่นพวกอัณฑะมิดขี้เหลืองได้ไง? แล้วทำไมพวกมันพากันไปมอบดอกไม้ให้ทหารของพระราชาที่ทำการยึดอำนาจ ปล้นประชาธิปไตยของประชาชน  และต่อมายังเรียกร้องขอพึ่งอำนาจและเลื้อยคลานเข้าไป    รับใช้พวกกากเดนศักดินาอำมาตย์อำนาจนิยมล้าหลังคลั่งชาติอย่างหน้าไม่อาย ตอบให้ง่ายก็คือ มีเงื่อนไข 3 ประการ ได้แก่
1)   อุดมการณ์-แนวคิดของ  อพช. เป็นอันเดียวกันกับของพวกกากเดนศักดินาฯ ได้แก่ ธรรมราชา, อนาธิปไตย,วัฒนธรรมชุมชน, พอเพียง, ประชาธิปไตยทางตรง, การเมืองใหม่(Anti-Marxism, Anti-Modernization/Westernization, Anti-Globalization , etc.)
2)เศษผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสังคมและตำแหน่งการเมืองที่พวกกากเดนศักดินาโยนให้(หรือกะว่าจะได้) : เช่น เงิน LDAP และนโยบาย กรอ.สมัยอีขันทีเปรม ที่พวกมันเอามาตั้ง กป.อพช., LDI, TDRI ไง , ต่อมาก็ SIF, พอช., สสส., สภาที่ปรึกษาฯ, สภาพัฒนาการเมือง,องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ, สว.ลากตั้ง ฯลฯ
3)   นิสัยสันดานส่วนบุคคลที่เข้ากันกับวัฒนธรรมก่อนทุนนิยม(วัฒนธรรมซากเดนศักดินา) : จิตใจคับแคบ, ขี้เกียจสันหลังยาว, มักง่าย, บูชารูปแบบ-แข็งตัว, คลั่งลูกพี่และบิดา,  ชอบอำนาจนิยม-จารีตล้าหลัง, มักมากในกาม, ชอบเสพศิลปะวรรณกรรมแบบขบถโรแมนซ์ปัญญาอ่อน-ซ้ำๆเดิม, วิธีคิดอ่อนด้อยขาดลักษณะวิพากษ์, อ่านน้อย ฟังน้อยแต่พูดมาก, โง่แล้วเสือกขยัน ,Sensitive, Idiot Romantic, Exotic,  และ Erotic ฯลฯ)
4)   การโยนผ้า จุดพลุส่งสัญญาณ เปิดช่อง-ยกธงเขียวจากฟากฝั่งมหาอำมาตย์โดยผ่าน “ตัวประสาน” ระดับ “บิดา”ของพวก อพช.(ประเวศ, อานันท์, ไพบูลย์, รพี, สุเมธ, - ส่วน ส.ศิวลึงค์เขาไม่ให้เข้าใกล้ )

  1.  บรรยากาศแวดล้อม 3 อย่างที่ทำให้ อพช.ออกจากเล้าไก่ของชาวบ้าน  : ได้แก่
1)   นโยบายและปฏิบัติการของรัฐบาลไทยรักไทยที่ทำให้ อพช. เจ็บและแค้น(ฝังใจ)
2)   การโหมโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือน/สร้างวาทกรรมชั่วๆของนักวิชาการและสื่อมวลชนฝ่ายซากเดนศักดินา(ธีรยวยหัวคุด, ปราโมทย์ นาครทวย, สมบัติ ธำรงธัญญวย, ไชยันต์ ชัยพวย, สุรพล นิติไกรวย, หยุ่นยวย, เจิมจวย, ลิ้มโกเต๊ก,นงนุช สิงหะเดชวย,คำนวย ฯลฯ)
3)   ความล้มเหลวในการจัดตั้งมวลชนของตนเองของ อพช. แม่งจัดตั้งมวลชนยังไงของพวกแม่งมัน แกนนำเครือข่ายผู้ยิ่งใหญ่ระดับชาติของแม่งแต่ละตัว กลับไปเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านที่บ้านตัวเองได้แค่ 80 กว่าเสียง พอแพ้เขา   มันก็บอกว่าคนชนะซื้อเสียง ชาวบ้านโง่ที่ไปเลือกคนชนะ-เห็นแก่เงิน ก็ปราชญ์ของแม่งแต่ละตัว โอ้โฮ ดูไม่จืด    (ล้วงและควักแบบพอเพียง..เยิบๆๆๆ - จะเอาพยานด้วยมั้ย?)

15. เมื่อเหี้ยได้พวก : ดังนั้น การที่ อพช. เข้าร่วมขบวนขวาขี้เหลืองครั้งนี้ ไม่ใช่การ “หลงผิด” หรือ “การหันกลับ/    ตีจากขบวนประชาธิปไตย” แต่เป็นการแสดงธาตุแท้อย่างไม่เหนียมอาย(อีกต่อไป)-เมื่อโอกาส “ฟ้า”เปิด /ยกธงเขียวให้-ต่างหาก  อุปมาก็ดั่งเช่น กระหรี่ได้เสี่ย  เหี้ยได้พวก นั่นแหล่ะ

16.  ทำงานบกพร่อง-ไม่สำเร็จ บิดาเรียกกลับ : แม้จะทำให้มวลชนมึนเมาไปอยู่บ้าง แต่ในที่สุดพวกมันก็ฝืนความจริงไม่ได้  ตัวอย่างเช่น  "แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน" ที่เป็นอุดมการณ์อันหนึ่งที่พวกปัญญาชนของฝ่ายกากเดนศักดินามันผลิตขึ้น แล้วก็ถ่ายทอดให้เครือข่าย อพช.ไปผลิตซ้ำครอบงำมวลชนไง หากเราไปดูของจริงในพื้นที่ก็จะรู้ทันทีว่า มันได้ผลก็เฉพาะกับแค่ อพช.หน้ามึนกับแกนนำปราชญ์แดกไก่จำนวนหนึ่งเท่านั้น (เพียงแต่มันมีเงินพูดออกสื่อกับ       จัดสัมมนาบ่อยไง) รวมทั้งพวกข้าราชการจังไรที่ขี้เกียจใช้สมองทำงานไง แล้วก็พวกนายทุนบริษัืทที่มีเอี่ยวกับทุนศักดินาไง แต่พวกมันก็ได้แต่โฆษณาเอาหน้ากันในทีวีเท่านั้นแหล่ะ)   ส่วนชาวบ้านแท้ๆ มันแทบครอบไม่ได้เลย จะมีบ้างก็พูดไปตามเขาอย่างนั้นเอง-เผลอๆถูกชาวบ้านหลอกแดกด้วยซ้ำ เพราะชาวบ้านเขาอยู่กับชีวิตจริง ปรากฏการณ์เสื้อแดงก็ได้แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนจะจะ แล้วว่า อุดมการณ์ของ อพช.  ไม่เป็นที่ต้องการของมวลชนต่อไป

17. อนาคตของ อพช. คือ กลับเข้ามดลูกเดิม : หลังจากที่ดีใจตีปีกกระดิกหางเหลืองพั่บๆแล้ว เมื่อเหล่า อพช.โอรสเหลืองทั้งหลายได้เจอพ่อเจอแม่แท้ๆที่พลัดพรากกันไปหลายปี เกิดอาการดีใจจนลืมตัว ถอดเสื้อคลุมนักพัฒนาทิ้ง เหลือแต่กางเกงในเหลืองโล่งโจ้ง คลานกระดึ๊บๆไปหาบุพการีและฝูงยั้วเยี้ยเหล่ากอเดียวกัน.......พลันฝูงเลื้อยคลานเหล่านี้นึกขึ้นได้  “ชิบหายแล้ว....ชาวบ้านเห็นม๊ดแล่ว....กลับเล้าเดิมบ่ได้แล้วเว่ย..จั๊ก เฮ็ดจังไดดีเนาะ.....บุพการีเฮา มันสิเลี้ยงดูเฮาอีหลีบ่...เบ๋ยๆๆๆๆ”  - จะว่าไปก็สมมันแล้ว ชาวบ้านเขารู้เช่นเห็นชาติพวกมันหมดแล้ว ก็แม่ง วันหนึ่งมันก็พร่ำพ่นน้ำลายว่า “ชาวบ้าน/ชุมชนเป็นผู้ที่ฉลาดมีภูมิปัญญา  ร่ำรวยวัฒนธรรม รักใคร่กลมเกลียว มีอุดมการณ์พอเพียง-ต่อต้านรัฐและทุนมาตั้งแต่เกิดสืบทอดมาแต่ดั้งเดิม”   แต่พอมาอีกวันหนึ่งมันกลับบอกว่า “ชาวบ้าน/ชนบทโง่ การศึกษาต่ำ หัวอ่อนเชื่อคนง่าย ถูกเงิน/ประชานิยมฟาดหัว  เป็นทาสทักษิณ ไม่รู้จักพอเพียง ฟุ่มเฟือย-ไม่ทำบัญชีครัวเรือน ชอบวัตถุ มีเงินก็ไปซื้อมือถือ ถูกตะวันตกครอบงำ”  โอ้โฮ...สารพัดที่มันสรรหามาด่าชาวบ้าน   นี่ไม่แน่นะ ต่อไปมันคงกล่าวหาอีกว่า ยากจนต่ำต้อยเพราะ “ไม่เคารพที่ต่ำที่สูง”  โอ้ว..พระเจ้ายอดมันจอร์จอีกแล้วค่ะ

  1. ช่วยกันกวาดบ้านล้างเสนียด ในวันที่ตะวันแดงสาดแสง : เราต้อง แยก/นิยาม ระหว่าง “อพช.” กับ “NGO” เสียใหม่  เพราะ อพช. คือ องค์กรพัฒนาเอกชน  ซึ่งมีหัวขบวนใหญ่คือ กป.อพช.(ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น กป.พอช.แล้ว)     ส่วน NGO เป็นคำเรียก องค์กรที่ทำงานสาธารณะที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐ ซึ่งมีอยู่เยอะแยะมากมายที่เขามีอุดมการณ์ก้าวหน้ากว่า อพช.   และก็ไม่ได้อยู่ในขบวน กป.อพช. อีกด้วย เช่น องค์กรที่ทำงานจัดตั้งกลุ่มแรงงาน องค์กรที่ทำงานจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรแบบก้าวหน้า องค์กรที่ทำงานด้านสื่อประชาชน องค์กรที่ทำงานด้านประชาธิปไตย องค์กรที่ทำงานด้านการกระจายอำนาจและปกครองตนเองฯลฯ     เป็นต้น   แต่ อพช.มักเรียกเหมารวมตัวเองว่า เอ็นจีโอ-เอ็นโตดี   ซึ่งอันที่จริง อพช.จึงเป็นเพียง NGO กลุ่ม/สายหนึ่งเท่านั้น  ดังนั้น หากไม่แยกแยะให้มวลชนเข้าใจตั้งแต่แรก ก็อาจจะส่งผลมุมกลับในอนาคตต่อความยากลำบากในการทำงานบนกรอบ “พัฒนาประชาธิปไตย”   ซึ่งต้องอาศัยองค์กรแบบ “เปิด” ก็ได้

19. ทางรอด บน  2 ทางเลือก  เตือน อพช.หนุ่มสาว ที่เขาเก็บมาเลี้ยง ไม่ได้มีสายเลือดเชื้อเหลืองโดยตรงแต่ดั้งเดิม ให้รีบกลับมาอยู่กับประชาชน ช่วยหนุนเสริมขบวนประชาธิปไตย     ร่วมขับไล่และโค่นทำลายซากเดนเผด็จการศักดินาอำมาตย์อนุรักษ์นิยมล้าหลังคลั่งชาติ       อย่าให้มันเหลือซากตอ มีแต่ทางนี้เท่านั้นที่ อพช. ลูกบุญธรรมทั้งหลายจะอยู่ในยุทธภพได้อย่างมีศักดิ์ศรี  ไม่อายหมา สำหรับ อพช. แก่ๆที่เป็นโอรสเหลืองสายตรง และที่สันดานเป็นสันดอนซะแล้ว (ไอ้สันดานหางเหลืองหลอกแดกไก่ชาวบ้าน) และยังไม่ยอมหันมายืนอยู่กับมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยอีก  หม่อมแม่ขอเตือนว่า พวกมึงจงรีบ     รูดซิบ เก็บกระเป๋าขนเสื้อผ้ากลับไปเป็นขี้ข้าหมอบคลานรับใช้เผด็จการอำมาตย์กากเดนศักดินา ตามกำพืดแท้เดิมของพวกมึงเสียเถิดโดยไว     ก่อนที่กองทัพประชาชนจะพากันมาเอาขี้เหลืองๆเหม็นๆไล่ปาใส่หัวพวกมึงอย่างไม่ไว้หน้า - ค่าที่เคยคบกันมาก่อน ....ขากถุ้ยส์